วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

สวยด้วยว่านห่างจระเข้




สรรพคุณว่านหางจระเข้ : ช่วยให้ใบหน้าสวยเปล่งปลั่ง


ว่านหางจระเข้จะช่วยให้ใบหน้าคุณสวยเปล่งปลั่งได้อย่างไรบ้าง  มาดูกันคะ

1. สามารถรักษาผิวไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือผิวที่ถูกแสงแดดเผาไหม้จนเกรียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ว่านหางจระเข้นี้จัดเป็นยาเย็น ส่วนมากใช้แล้วจะรู้สึกเย็นสบายบริเวณผิวหนังที่แสบร้อนจากการเผาไหม้


วิธีใช้
นำว่านหางจระเข้สักก้านหนึ่งเลือกก้านที่แก่ ๆ สักหน่อย ล้างน้ำให้สะอาดฝานเอาเปลือกออก ล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้งอย่าให้มีเมือกสีเหลือง ๆ ติดอยู่ เพราะอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ ให้ใช้แต่วุ้นสีขาวเอาไปทา หรือถ้าเป็นแผลจากน้ำร้อนลวกและไฟไหม้ ก็ฝานวุ้นว่านหางจระเข้ไปวางทับที่ปากแผล

2. สามารถช่วยลดอาการที่เกิดจากผื่นคันที่มีสาเหตุมาจากการแพ้สารเคมีต่าง ๆ ใครที่ผ่านการใช้เครื่องสำอางที่มีสารเคมีเยอะกัดผิวหน้าจนแดงเป็นปื้น หันมาใช้ว่านหางจระเข้ ช่วยรักษาดีกว่า จะได้ฟื้นฟูสภาพผิวพรรณให้สวยเปล่งปลั่งเหมือนเดิม


วิธีใช้ เช่นเดียวกับการรักษาแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

3. ลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวและฝ้าบนใบหน้า หลายคนที่เจอกับปัญหานี้ ก็ลองหันมาใช้ว่านหางจระเข้รักษาดู ในกลุ่มวัยรุ่นมักจะเจอปัญหารอยแผลเป็นจากสิว ใบหน้าเป็นจุดด่างดำ แต่ขอแจ้งให้ทราบนิดหนึ่งว่าอย่านำว่านหางจระเข้ไปใช้รักษาสิว เพราะตัวมันเองไม่มีสรรพคุณเช่นนั้น แต่ในกรณีที่เป็นสิวที่มีหนอง หัวใหญ่ก็สามารถใช้แหะที่หัวสิวนั้นได้ เพราะว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบได้ ส่วนในกลุ่มผู้ใหญ่ วัยทำงานขึ้นมาหน่อยก็มักจะเจอปัญหาใบหน้าเป็นฝ้า จุดด่างดำ เพราะอายุมากขึ้น


วิธีใช้ ก็ใช้เมือกวุ้นที่ล้างสะอาดแล้วทาบริเวณที่เป็นฝ้านั้นทุกวันเช้า-เย็น ระยะเวลาติดต่อกันนานเป็นเดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผล สำหรับคนผิวมันนั้นสามารถใช้ว่านหางจระเข้ตัวเดียวได้ แต่สำหรับคนที่มีผิวแห้งควรจะใช้ควบคู่กับครีมบำรุงผิวประเภทให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้า

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

5 เทคนิคขายของออนไลน์ ทำยังไงให้ขายดี




หากอยากให้ร้านค้าของคุณขายดิบขายดี เพจเฟสบุ๊คคนเข้าไม่ขาดสายแล้วละก็ ไม่ใช่แค่สินค้าหรือบริการที่คุณควรให้ความสำคัญ แต่ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่สำคัญมากพอๆ กัน วันนี้เราจะมาชี้แจงเทคนิค 5 ข้อที่จะช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณกลายเป็นร้านยอดฮิต



1.แชร์บทความที่มีประโยชน์ต่อลูกค้า หากคุณต้องการสร้างรายได้โดยการขายของออนไลน์ผ่านเฟสบุ๊คแล้วละก็ การทำให้เพจเฟสบุ๊คของคุณมียอดผู้ติดตามและยอดไลค์เยอะๆ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นอันดับต้นๆ เลยทีเดียว โดยสิ่งที่จะทำให้เพจของคุณเกิดหรือดับในโลกของการขายของออนไลน์ก็คือ content หรือบทความที่คุณโพสลงบนเพจเฟสบุ๊คของคุณนั่นเอง ซึ่งคำแนะนำของเราคือ
-เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ใส่ content ที่คุณคิดว่าลูกค้าสนใจ ไม่ได้เน้นขายของหรือโพสเกี่ยวกับธุรกิจของคุณเพียงอย่างเดียว
-เรียนรู้ความชอบและความสนใจของลูกค้าจากลูกค้ารายเก่า



2. พูดคุยกับลูกค้าเยอะๆ แม้สำหรับร้านค้าออนไลน์ทุกร้านเป้าหมายคือยอดขายที่พุ่งกระฉูด แต่กฎเหล็กของร้านค้าออนไลน์ที่อยากขายดีคือทำให้ยอดไลค์ ยอดคอมเม้น และยอดแชร์เพิ่ม ไม่ว่าจะมาจาก content ที่ลูกค้าอยากอ่าน หรือกิจกรรมที่ลูกค้าอยากเข้าร่วมบนเพจเฟสบุ๊คของคุณก็ตาม และการตอบคอมเม้นลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จะทำให้เพจเฟสบุ๊คของคุณน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น และทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณได้ง่ายขึ้นในอนาคต


3.วางแผนเนื้อหาที่จะโพสในแต่ละวัน เมื่อคุณขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะทำเป็นรายได้เสริมหรือทำแบบเต็มตัว หากคุณอยากให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จ คุณจำเป็นจะต้องมีวินัยในการโพส การจัดตารางการโพสทุกๆ สัปดาห์และตั้งค่าการโพสอัตโนมัติให้เวลาตรงกับเวลาที่กลุ่มลูกค้าของคุณออนไลน์ จะทำให้โพสของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-เทคนิคคือการจัดตารางการโพสรายเดือนจะทำให้วินัยคุณดีขึ้น และจะช่วยให้คุณวางแผนแคมเปญสำหรับวันพิเศษต่างๆ ได้อย่างไม่ตกหล่นอีกด้วย การทำแบบนี้อาจจะทำให้การขายของออนไลน์ของคุณกลายเป็นเรื่องสนุกไปเลยก็ได้



4.กระตุ้นให้ลูกค้าหรือแฟนเพจมีส่วนร่วมกับโพสหรือกิจกรรมของเพจอยู่เสมอๆ การกระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ บนเพจเฟสบุ๊คของคุณ เช่นการประกวดถ่ายภาพรีวิวสินค้า จะช่วยสร้างฐานแฟนเพจและผู้ติดตามเพจให้กับคุณ และยังสามารถช่วยส่งเสริมการตัดสินใจซื้อได้อีกด้วย พูดได้ว่า ยิ่งลูกค้าของคุณรู้จักและคุ้นเคยกับเพจเฟสบุ๊คหรือแบรนด์ของคุณมากเท่าไหร่ เขาก็จะสามารถตัดสินใจซื้อของจากคุณได้ง่ายขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง



5.เพิ่มแฟนเพจจากการโฆษณา เครื่องมือที่สร้างสามารถช่วยเพิ่มฐานแฟนเพจของคุณได้อย่างรวดเร็ว คือการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าของคุณ โดยคุณสามารถเลือกอาชีพ ความสนใจ ของพวกเขาได้ และคุณยังสามารถกระตุ้นให้พวกเขาเหล่านั้นแชร์หรือบอกเพื่อนๆ ของพวกเขาต่อ อาจจะด้วยวิธีต่างๆ ต่อไปนี้
-กระตุ้นให้แฟนเพจแชร์โพสของคุณ โดยอาจมีของขวัญหรือรางวัลให้สำหรับคนที่แชร์
-สร้างโพสที่ทุกคนอยากแชร์ไปให้เพื่อนๆ ของพวกเขา

นี่เป็นเพียง 5 เทคนิคหลักๆ ที่เจ้าของเพจเฟสบุ๊คควรให้ความสำคัญ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการขายของออนไลน์บนแฟลตฟอร์มอื่นได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อีกมากมายที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากการสร้างเพจเฟสบุ๊คให้ติดตลาดอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ organic reach นับวันจะยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ  แต่หากคุณมีการวางแผนการโพส และ content ที่ดี รับรองเลยค่ะว่าการทำเพจให้ดังให้ปังนั้นไม่ใช่เรื่องยาก

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

4 วิธี ขัดขี้ไคล เพื่อผิวขาวกระจ่างใส




วันนี้จะมาช่วยขัดขี้ไคลกัน เพื่อสวยสดใสของร่างกายเราเอง เราจะมีผิวกายที่สวยเปล่งปลั่ง กระจ่างใสได้นั้น นอกจากจะต้องหมั่นทาครีมบำรุงผิวอยู่เป็นประจำแล้ว การทำความสะอาดผิวก็ถือเป็นเคล็ดลับง่าย ๆ อีกหนึ่งวิธี ที่ช่วยให้ผิวของคุณเนียนใสได้ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการขัดสีฉวีวรรณกำจัดคราบขี้ไคลสกปรกตามบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกายออกไปเพื่อเผยผิวใสสะอาดหมดจด ลองดูวิธีดังต่อไปนี้




วิธีกำจัดขี้ไคล

วิธีที่ 1 เวลาอาบน้ำให้สาวๆใช้ฟองน้ำหรือผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นลูบบริเวณผิวให้ทั่วประมาณ 2 –3 นาทีจนเริ่มเปื่อย แล้วค่อย ๆ ถูออก สังเกตได้ว่าคราบขี้ไคลจะหลุดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้นวิธีนี้เป็นวิธีที่เบสิกที่สุด

วิธีที่ 2 ให้ใช้น้ำมันมะกอกหรือเบบี้ออยล์ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะผสมกับเกลือป่น 2 ช้อนชา แล้วนำไปนวดผิวเบา ๆ ให้ทั่วก่อนอาบน้ำ เหมือนเป็นสคับก่อนอาบน้ำไปในตัว เพื่อช่วยขัดและบำรุงผิวให้นุ่มและขจัดคราบสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนผิวได้




วิธีที่ 3 เตรียมอุปกรณ์ขัดผิวมาเป็นตัวช่วย เช่น ใยบวบ หินขัดตัว ถุงมือ, แปรงขัดผิว นำมาขัดขณะฟอกสบู่หรือขัดบนผิวเปียกจะช่วยให้คราบขี้ไคล ครีมทาผิวที่ตกค้างอยู่บนผิวหลุดลอกออกได้ดี แต่มีข้อระวัง คือ สาว ๆ ควรขัดอย่างเบามือ ส่วนคนที่มีแผล ก็ไม่ควรขัดด้วยวิธีนี้ เพราะผิวอาจจะแสบและระคายเคืองได้




วิธีที่ 4 ใช้สบู่สครับสำหรับช่วยในการกำจัดขี้ไคลโดยเฉพาะ เช่น สบู่กาแฟสครับกับขมิ้น สบู่กาแฟสครับกับทานาคา ทำให้ผิวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ และช่วยบำรุงให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นตามตำหรับสมุนไพรไทย แบบนี้ผิวขาวของคุณจะดูขาวสะอาดสดใสขึ้น สบู่ของเราเป็นสบู่สมุนไพรราคาโรงงาน ไม่ต้องเสียเงินไปทำสปาแพงๆ เลยค่ะ


ลองเอาทำกันดูคะ...

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2562

วิธีการเช็คหน้าติดสเตียรอยด์


   
    

หลายคนเข้าคลีนิกเสริมความงาม หาหมอสิว รักษาผิวหน้า กันอยู่เป็นประจำ  
       จนบางครั้งเราไม่รู้ตัวเลยว่าผิวหน้าบางๆ ของเราน่ะติดสเตียรอยด์เข้าแล้ว! 
  
เนื่องจากเวลาเป็นสิว คลีนิกส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีรักษาด้วยครีมที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์
 (ซึ่งในเมืองไทยสามารถใช้ได้ถ้าไม่เกินปริมาณที่กำหนด) เพราะจะทำให้อาการอักเสบหายเร็วขึ้น แต่..แน่นอนว่าเมื่อใช้บ่อยๆ ติดกันเป็นเวลานาน
 ก็ทำให้ผิวบางลง แพ้ง่าย พอหยุดใช้เมื่อไหร่หน้า
 ก็เห่อแดง และคันขึ้นมาทันที! ก็เลยเรียกว่าอาการ “ติดสเตียรอยด์” นั่นเอง

             


สเตียรอยด์ คืออะไร

สเตียรอยด์ (Steroid) เป็นสารสังเคราะห์ที่ในทางการแพทย์สร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ต่อต้านการอักเสบ ดังนั้นเมื่อเอามาใช้กับผิวหน้าก็ทำให้สิวยุบไว หน้าใสเด้งแบบทันตาเห็น แต่ผลข้างเคียงคือไปกดภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีโอกาสติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย ทำให้ผิวบางลง และมีอาการแพ้ง่ายไปหมดทุกสิ่งอย่างนั่นเอง



อาการติดสเตียรอยด์

เมื่อมีการใช้สเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องไปสักระยะหนึ่ง แล้วเกิดหยุดใช้หรือใช้ปริมาณเท่าเดิมไม่เห็นผลอีกต่อไป จะมีอาการประมาณนี้ค่ะ
– คันยิบๆ ที่ผิวหนัง
– มีรอยแดงเป็นปื้นๆ ผิวเห่อเหมือนแพ้อะไรมา
– มีสิวผด และผื่นขึ้น
– ผิวแห้งเหี่ยว ขาดความชุ่มชื้น ผิวสากๆ
– มีสิวอุดตัน บางครั้งเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่แดงนูน หรือสิวหัวหนอง
– ใช้ครีม หรือเหงื่ออกก็จะมีอาการคัน แพ้ง่ายมาก




วิธีรักษาอาการติดสเตียรอยด์

1. ค่อยๆ หยุดใช้ยาสเตียรอยด์ โดยใช้ในปริมาณที่น้อยลง แบบวันเว้นวัน วันเว้นสองวัน และห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดใช้
2. งดใช้ครีมต่างๆ เพราะอาจไปรบกวนผิว ล้างหน้าด้วย น้ำเปล่า Cetaphil, Acne Aid, Physiogel หรือที่ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน
3. งดแต่งหน้า ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ พยายามแต่งหน้าให้น้อยที่สุด ไม่ให้อุดตันหรือก่อให้เกิดสิวและอาการแพ้ 




4. ถ้ามีอาการคันมากๆ หรือทนไม่ไหว อาจจะใช้ยาแก้แพ้ที่ช่วยลดอาการคันได้ เช่น Elidel, Ezerra Cream, Protopic เป็นต้น (ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาทุกครั้ง)
5. พยายามเลี่ยงอาหารรสจัด ของมัน ของทอด และแป้ง ขนมปัง เบเกอรี่ ที่ทำจากยีสต์
6. พอกหน้าด้วยไข่ขาว อาจจะทาผงพิเศษก่อนนอนเพื่อบรรเทาอาการคันและเห่อ 



7. ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน
8. ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อให้ผิวกลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง
9. งดใช้ยาหรือครีมที่เสี่ยงว่าจะมีสารสเตียรอยด์ปนมาอีก
10. อดทนกับสภาพผิวหน้าในช่วงรักษา ไม่แคะแกะเกา อาจใช้เวลาตั้งแต่ 2 อาทิตย์ ถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน
11. ถ้าไม่ไหวจริงๆ ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่โรงพยาบาลชั้นนำ เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง

12.ใช้สบู่แฮนด์เมด สบู่น้ำมันธรรมชาติ แบรนด์
dani dani soap 





สาวๆ คนไหนที่รู้ตัวว่าหน้าติดสเตียรอยด์เข้าให้แล้ว ก็อย่าเพิ่งตกใจหรือเสียใจไปนะคะ เพราะอาการแบบนี้ยังสามารถรักษาให้ฟื้นฟูดีขึ้นได้ แค่ต้องอดทนและใช้เวลาสักหน่อย อาจจะมีช่วงนึงที่เรารู้สึกอายสภาพผิวหน้าจนไม่อยากให้ใครเห็น แต่พออาการดีขึ้นก็สวยยาวๆ แล้วนะคะ ^^ สู้ๆ นะ



สบู่น้ำมันธรรมชาติ เมื่อคุณใช้อย่างสม่ำเสมอ ผิวหน้าของคุณจะกลับมาแข็งแรง และอาการติดสารสเตียรอยด์จะหายไป ชนิดที่ว่าคุณลืมไปเลยว่าคุณเคยมีอาการหน้าติดสาร  การันตีโดยคนที่เคยหน้าดิตสารมาแล้วจ้า
สนใจทักมาคะLine : dani5642

ขอบคุณภาพจาก webmd

น้ำมันบำรุงผิวหน้าจากธรรมชาติ ยิ่งใช้ยิ่งดี ผิวยิ่งเด้ง


         หากพูดถึงน้ำมันบำรุงผิวหน้า สาวผิวมันส่วนใหญ่จะขอเซย์โนทันทีเพราะคิดว่าจะยิ่งทำให้หน้ามันไปกันใหญ่ และเมื่อผิวมันอยู่แล้ว ยิ่งใช้จะยิ่งเป็นสิวไหม? 
        ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงเลือกใช้แต่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เป็นสูตร Oil-Free เพื่อไม่ให้มีน้ำมันไปอุดตันรูขุมขนและทำให้เป็นสิวได้ 
        แต่ในความเป็นจริงน้ำมันคือส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยรักษาความสมดุล ช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ ไม่แห้งหรือมันเกินไป 
       เมื่อผิวมีความสมดุลปัญหาผิวอื่นๆก็จะไม่ตามมา แถมช่วยไม่ให้สิวบุกอีกด้วย 
      ซึ่งเคล็ดลับผิวสมดุลด้วยการทาน้ำมันบำรุงผิวมีมาตั้งแต่ยุคสมัยอียิปต์โบราณ คลีโอพัตราได้คัดสรรสารพัดน้ำมันมาประทินโฉมและผลลัพธ์ที่น่าทึ่งก็เป็นอย่างที่เราๆทราบกันตามตำนานว่าผิวของเธองดงามไร้ที่ติจริงๆ
       สำหรับสาวผิวแห้งถึงผิวธรรมดายิ่งเหมาะกับการใช้น้ำมันบำรุงผิวเพราะผิวต้องการความชุ่มชื่นมากกว่าสาวผิวมัน 
      นอกจากนี้ก็ยังมีสาวๆที่เริ่มมีริ้วรอยมาถามหาก็ยิ่งต้องใช้เพราะริ้วรอยเป็นตัวบ่งบอกว่าผิวขาดความชุ่มชื่นอย่างรุนแรง 
      ดังนั้นไม่ว่าจะมีสภาพผิวแบบไหนก็ควรหาน้ำมันมาบำรุงเพื่อให้ผิวเกิดความสมดุลและชุ่มชื่น 
      ปัญหาผิวต่างๆก็จะไม่มากวนใจ และต้องบอกเลยว่าน้ำมันนั้นมีคุณภาพประสิทธิภาพไม่แพ้ครีมบำรุงที่หลายคนกำลังใช้อยู่เลยทีเดียว และเพื่อให้สาวๆ  เลือกน้ำมันบำรุงผิวได้ตรงความต้องการ 

      มาดูคุณสมบัติของน้ำมันมาฝากกัน อยากหน้าเด้งเบอร์ไหน เลือกใช้กันได้เลย
1. น้ำมันโจโจบา
        เริ่มต้นด้วยน้ำมันที่สามารถดูแลผิวได้หลากหลายด้านอย่าง Jojoba Oil หรือน้ำมันโจโจบาซึ่งหลายคนจะคุ้นหูกันดีเพราะน้ำมันชนิดนี้ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากมาย 
      จะดีกว่ามากถ้าเราได้บำรุงผิวด้วยน้ำมันโจโจบาแบบเพียวๆ ด้วยความบางเบาที่แทบไม่ต่างจากน้ำมันซีบัมที่หล่อลื่นผิวตามธรรมชาติ 
      ทุกครั้งที่ทาจะซึมซาบได้เป็นอย่างดี ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีคือผิวหน้าที่เงาสวย 
      ใครที่ชอบผิววาวแบบสาวเกาหลีต้องลองเลย นอกจากผิวเด้งๆแล้วยังช่วยต้านการอักเสบ เป็นสิวก็สามารถใช้ได้ ผิวแพ้ง่ายก็เหมาะเพราะมีความอ่อนโยน สำหรับใครที่เริ่มมีริ้วรอยก็เวิร์ค 
       นอกจากใช้กับผิวแล้วยังใช้บำรุงเส้นผมได้ด้วย ทูอินวันกันไปเลย
2. น้ำมันโรสฮิป
       โรสฮิปก็เป็นน้ำมันอีกหนึ่งชนิดที่กำลังมาแรง ขึ้นชื่อในเรื่องการสร้างเซลล์ผิวและผลิตคอลลาเจน เหมาะมากกับคนที่ต้องการสมานแผล 
       มีวิตามินซี กรดไขมัน โอเมก้า3 โอเมก้า6 จะช่วยรักษาเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังมีกรดเรติโนซึ่งช่วยเรื่องการลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวสว่างใส ให้ความชุ่มชื้น มอบความสมดุลให้ผิวไม่แพ้ง่าย ลดอาการอักเสบและความแห้งกร้าน 
      คุณสมบัติที่โดดเด่นมากคือการฟื้นฟูผิวที่ไหม้จากแสงแดดและรังสี สำหรับข้อมูลที่ควรทราบสำหรับน้ำมันชนิดนี้คือไม่ควรใช้ทาผิวเพียงอย่างเดียว แต่ควรตามด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้เป็นประจำอยู่ด้วย เพราะแม้จะมีคุณค่าบำรุงที่ครบครันก็อาจทำให้ภาพรวมของผิวดูแห้ง ถ้าใช้น้ำมันโรสฮิปเดี่ยวๆ
3. น้ำมันมะพร้าว
       ขึ้นแท่นน้ำมันเพื่อความงามไปแล้วสำหรับน้ำมันมะพร้าวเพราะอยู่คู่ผู้หญิงรักสวยรักงามมาตั้งแต่สมัยโบราณ หลักๆคือเป็นตัวช่วยที่ยอดเยี่ยมสำหรับสาวผิวแห้งเนื่องจากขาดความชุ่มชื้น 
     ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งเป็นขุย แตก ลอก มีผื่นแพ้ แค่ใช้สำลีชุบน้ำอุ่น บีบน้ำออก แล้วหยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยด ทาให้ทั่วใบหน้า ผิวหน้าจะกลับมาชุ่มชื้น ละเอียดขึ้น แถมจุดด่างดำจากสิวก็ลดเลือนลงด้วย 
     สำหรับสาวที่มีผิวแห้งมากๆสามารถทาที่ผิวหน้าโดยตรงได้ และแนะนำให้เลือกเป็นน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเพราะจะยังคงคุณค่าของวิตามินอีเอาไว้ ในช่วงกลางคืนสามารถทาบางๆแทนครีมบำรุงผิวได้เลย
4. น้ำมันมะกอก
      เป็นอีกหนึ่งชนิดน้ำมันที่อยู่คู่คนไทยมานานโดยเฉพาะการบำรุงเส้นผม แต่น้ำมันมะกอกยังดูแลผิวของเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 
     คุณสมบัติเด่นคือการต้านอนุมูลอิสระต้นเหตุของผิวแก่ก่อนวัย ปกป้องหนังกำพร้าและช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น 
     สำหรับผิวหน้าให้ทาน้ำมันมะกอกบางๆก่อนนอนทุกคืน สำหรับผิวกายให้ผสมน้ำมันมะกอก 5 ช้อนชาลงไปในอ่างอาบน้ำ แนะนำให้อุณหภูมิของน้ำมีความอุ่น ความร้อนจะช่วยให้วิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระซึมซาบสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น 
    ช่วยให้ขนตาและคิ้วดกดำอย่างเป็นธรรมชาติ ใครที่อยากคิ้วเข้มหรือมีขนตาที่หนาขึ้นสามารถแตะน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลงบริเวณแนวขนตาและคิ้วทา ทำอย่างต่อเนื่องจะเห็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ
5. น้ำมันเมล็ดองุ่น
         น้ำมันเมล็ดองุ่นได้รับตำแหน่งซูเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์ไปครอง เพราะมีโอลิโกเมริคโปรแอนโธไซยานิดีน (Oligomeric Proanthrocyanidin) หรือ OPC ในปริมาณสูงมาก 
        มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่าและสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า แน่นอนว่าจะช่วยสาวๆ ชะลอการเกิดริ้วรอย 
     หากต้องการการบำรุงอย่างเต็มที่ต้องเลือกแบบสกัดเย็น น้ำมันเมล็ดองุ่นจะช่วยให้เซลล์อ่อนเยาว์และยืดอายุให้อยู่นานขึ้น 
     ที่สำคัญน้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว และสามารถจับกับโปรตีนที่เป็นโครงสร้างของคอลลาเจนในผิว จึงช่วยปกป้องคอลลาเจนและผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ 
     ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดีและตึงกระชับ นอกจากใช้บำรุงผิวอย่างล้ำลึกแล้วยังสามารถนำไปผสมกับน้ำมันโจโจบาสำหรับนวดผิวหน้าเพื่อล้างเครื่องสำอางได้อีกด้วย
6. น้ำมันละหุ่ง
        สำหรับคนที่มีปัญหาสิวและผิวอักเสบบ่อยๆต้องลองหาน้ำมันละหุ่งมาใช้ 
       ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านการอักเสบและเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของสิว มีทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินอี โปรตีน และแร่ธาตุ 
       จะช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวรวมถึงป้องกันการเปลี่ยนสีและแผลเป็นจากสิวด้วย แต่จุดด้อยคือน้ำมันชนิดนี้มีความข้นเหนียวหากใช้เดี่ยวๆจะทำให้ผิวแห้งเกินไป 
      วิธีแก้คือนำไปผสมกับน้ำมันชนิดอื่นอย่างน้ำมันโจโจบาหรือน้ำมันมะกอก นอกจากจะช่วยให้ทาได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงผิว ผิวไม่แห้ง โดยผสมน้ำมันละหุ่งกับน้ำมันอีกชนิดในปริมาณที่เท่ากัน 
      วิธีการใช้ที่แนะนำคือนำน้ำมันที่ผสมกันแล้วเทใส่มือประมาณ 1/4 ของฝ่ามือ จากนั้นทาให้ทั่วใบหน้าที่แห้งสนิท ทิ้งไว้หนึ่งนาที แล้วชุบผ้าลงในน้ำร้อน บิดหมาดๆ วางประคบบนใบหน้าประมาณ 30 วินาที เมื่อเช็ดออกก็จะสัมผัสได้ถึงผิวหน้าที่เกลี้ยงเกลาขึ้นจนสังเกตเห็นได้

      น้ำมันที่กล่าวมามีสรรพคุณช่วยในเรื่องของบำรุงผิวมากมาย แต่ถ้าบางคนการที่จะนำมาใช้แบบเพียว ๆ อาจจะรู้สึกรำคาญหรือแหนะหนะผิว 
     ขอแนะนำ สบู่รังไหม-น้ำผึ้ง จาก dani dani soap  
สูตรลดฝ้าหน้าเด้ง และสูตรลดสิว ทั้ง 2 สูตรนี้ มีสรรพคุณของน้ำมันพวกนี้ด้วยนะคะ อยากพิสูจน์ต้องลองคะ ผิวคุณจะเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ผิวขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติแน่นอน ที่สำคัญปลอดภัย 100% จ้า
สนใจทักมาคะ Line: dani5642

เครดิต: issue247

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2562

สอนวิธีการทำเดย์ครีมแบบง่าย ครูดานิ





ชวนมาทำเดย์ครีมคะ

สูตรนี้ เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง 
สามารถใช้เป็นครีมกันแดดในตัวได้เลย
มีส่วนผสมของ น้ำมันที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงผิว

น้ำมันโจโจบา

         เป็นน้ำมันที่สามารถดูแลผิวได้หลากหลายด้านอย่าง Jojoba Oil หรือน้ำมันโจโจบาซึ่งหลายคนจะคุ้นหูกันดีเพราะน้ำมันชนิดนี้ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากมาย แต่จะดีกว่ามากถ้าเราได้บำรุงผิวด้วยน้ำมันโจโจบาแบบเพียวๆ ด้วยความบางเบาที่แทบไม่ต่างจากน้ำมันซีบัมที่หล่อลื่นผิวตามธรรมชาติ ทุกครั้งที่ทาจะซึมซาบได้เป็นอย่างดี ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีคือผิวหน้าที่เงาสวย ใครที่ชอบผิววาวแบบสาวเกาหลีต้องลองเลย นอกจากผิวเด้งๆแล้วยังช่วยต้านการอักเสบ เป็นสิวก็สามารถใช้ได้ ผิวแพ้ง่ายก็เหมาะเพราะมีความอ่อนโยน สำหรับใครที่เริ่มมีริ้วรอยก็เวิร์ค นอกจากใช้กับผิวแล้วยังใช้บำรุงเส้นผมได้ด้วย ทูอินวันกันไปเลย
น้ำมันอโวคาโด

     มีสารต้านอนุมูลอิสระ  ช่วยลดริ้วรอยแห่งวัยได้ดี ทำให้คงความอ่อนเยาว์  สามารถซึมลงสู่ผิวได้ดี ไม่เหนียวหนะแหนะ มีวิตามิน A  B  D  และ E ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น และช่วยยืดอายุของเซลล์ผิว ทำให้จุดด่างดำและรอยแผลเป็นจางลง บำรุงผิวได้ดี ทำให้ผิวเนียนนุ่ม เหมาะสำหรับผิวแห้งกร้าน

เซย์บัตเตอร์

   จัดอยู่ในตระกูลของเนยธรรมชาติ เป็นผลผลิตจากต้นเซย์ซึ่งเป็นพีชตระกูลถั่ว มีก้อนแข็ง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวอ่อน ๆ สามารถลดอาการแพ้ระคายเคืองของผิวได้ ใช้เป็นตัวป้องกันและลดอาการผิวแตกลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถมอบความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดี ช่วยลดเลือนริ้วรอยและซ่อมแซมยืดอายุของเซลล์ผิวได้อย่างล้ำลึก 

ซิงค์ออกไซด์

เป็นสารที่เป็นผลึก ไม่มีสี ไม่ละลายน้ำ แต่ละลายในกรด ปกป้องผิวจากแสงรังสีได้ ช่วยต้านการระคายเคือง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบบอ่อน ๆ  ช่วยลดผดผื่นแพ้ จึงเหมาะที่จะใช้เป็นสารกันแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย

เรามาดูส่วนผสมและวิธีการทำกันคะ

ส่วนผสม

น้ำมันอโวคาโด 100 กรัม
น้ำมันโจโจ้บา  60 กรัม
เชียบัตเตอร์  25 กรัม
บีแว็กซ์  30 กรัม
ซิงค์ออกไซด์  45 กรัม
สารกันเสีย 0.5 กรัม (ใส่ก็ได้ไม่ใส่ก็ได้)




วิธีการทำ

1.ผสมน้ำมันอโวคาโด น้ำมันโจโจ้บา เชียบัตเตอร์ และบีแว็กซ์ เข้าด้วยกัน แล้วนำไปเข้าไมรโครเวฟ ให้ทั้งหมดละลายเป็นเนื้อเดียวกัน (หรือตั้งหม้อ 2 ชั้นเพื่อละลายส่วนผสมทั้งหมดก็ได้)
2.เมื่อทั้งหมดละลายดีแล้ว ให้ใส่ ซิงค์ออกไซด์ลงไปที่ละน้อย ๆ  แล้วคนให้เข้ากัน ทำแบบนี้เรื่อย ๆ จนกว่าซิงค์ออกไซด์จะหมด)
3.เมื่อทุกอย่างเข้ากันดีแล้ว สามารถเทใส่บรรจุภัณฑ์วางทิ้งไว้ หรือ นำเข้าตู้เย็นเพื่อให้ครีมเซ็ทตัว

ทิป

1.สามารถใส่น้ำหอม  วิตามินอี  สารสกัดได้ ตามชอบ
2.ให้ใส่น้ำหอม วิตามิน และสารสกัด ตอนที่อุณหภูมิลดลงเหลือประมาณ 30 องศานะจ๊ะ
3.ถ้าใส่กันเสีย เก็บได้นานเป็นปีจ้า
4.ถ้าไม่ใส่กันเสีย เก็บได้ 3 เดือนจ้า

เอาละจ้าลองทำกันดูนะคะ เดย์ครีมนี้ สามารถใช้เป็นครีมกันแดดได้จ้า  ทำเป็นลองพื้นก็ได้ 

ครูดานิตา


               



ฝ้าคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร



ฝ้า นับเป็นหนึ่งในปัญหากวนใจที่ทำให้ใบหน้าของเราไม่กระจ่างใส แม้บางคนจะดูแลผิวหน้าอย่างดี ก็ยังมีฝ้าเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณโหนกแก้ม แก้ม หน้าผาก รอบๆ คิ้วรอบๆ ปาก ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจ เราจึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับฝ้า รวมทั้งวิธีการรักษาฝ้า อย่างเหมาะสมมาให้บอกคะ

ฝ้าคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร?


ฝ้า (Melasma) เกิดจากการที่เซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง หรือเม็ดสีเมลานิน (Melanin pigment) ทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุที่ทำให้เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกตินั้น ส่วนใหญ่มาจากการที่ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อรังสี UV ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เนื่องจากเม็ดสีเมลลานินมีหน้าที่กรองรังสี UV เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย จึงเกิดเป็นฝ้าซึ่งมีลักษณะเป็นสีดำอมน้ำตาล ขึ้นเป็นแถบหรือปื้นบริเวณใบหน้า
นอกจากนี้ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนไป เช่น เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ตั้งครรภ์ กินยาคุมกำเนิด หรือใช้เครื่องสำอางบางชนิด ที่มีน้ำหอม สี หรือฮอร์โมนผสมอยู่ ก็มีส่วนทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน
ทั้งนี้ส่วนใหญ่ปัญหาฝ้าจะเกิดกับผู้หญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปี ซึ่งผู้หญิงมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า!

ฝ้ามีกี่ชนิด

ฝ้าที่ขึ้นบริเวณใบหน้าของเราแบ่งได้เป็น 4 ชนิดหลักๆ คือ
1.ฝ้าตื้น เกิดจากความผิดปกติบริเวณชั้นหนังกำพร้า (ผิวชั้นนอก) มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม ขอบชัด มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ก็รักษาได้ง่ายเช่นกัน โดยใช้เวลารักษาไม่นานนั
2.ฝ้าลึก เกิดบริเวณชั้นหนังแท้ ผื่นสีน้ำตาผสมสีเทาเข้ม ขอบไม่ชัดเจน เนื่องจากอยู่ในระดับที่ลึกมาก การรักษาจึงค่อนข้างยาก
3.ฝ้าผสม นั่นคือ มีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกเกิดขึ้นที่ผิวหน้า เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในผู้ที่ประสบปัญหาฝ้า
4.ฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นฝ้าชนิดใด มักพบในผู้ที่สีผิวเข้มมาก เช่น ชาวแอฟริกัน เป็นต้น
นอกจาก 4 ชนิดหลักๆ นี้แล้ว ฝ้ายังสามารถแบ่งตามสาเหตุการเกิดได้ 2 ลักษณะคือ
ฝ้าแดด เกิดจากรังสียูวีเอและยูวีบีจากแสงแดด หลอดไฟ แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เป็นต้น
ฝ้าเลือด เกิดจากความผิดปกติของเลือดลมและฮอร์โมน เกิดเป็นลักษณะผิวแดงง่ายเมื่อโดนความร้อนหรือแสงแดด

วิธีการป้องกันฝ้า


  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด เนื่องจากรังสี UV จากแสงแดดเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า การหลีกเลี่ยงแสงแดดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันฝ้า แต่หากหลีกเลี่ยงได้ยาก ก็ไม่ควรสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง เช่น ควรสวมหมวก กางร่ม หรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด ก็จะสามารถลดความรุนแรงได้ระดับหนึ่ง
  • ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำ แต่หากสัมผัสกับหลอดไฟ แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอสมาร์ทโฟนอย่างสม่ำเสมอ ก็มีโอกาสเกิดฝ้าได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวด้วย โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และต้องเป็นชนิด PA+++ โดยทาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนออกแดด และทาวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและเที่ยง (ก่อนทารอบที่ 2 ควรล้างหน้าด้วย)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือฮอร์โมนเพศโดยไม่จำเป็น เนื่องจากยาหรือฮอร์โมนเพศบางชนิด มีผลข้างเคียงทำให้เป็นฝ้าได้ เช่น ยากันชักกลุ่มฟีไนโทอีน และกลุ่มยาที่มีปฏิกิริยาไวต่อแสง แต่หากจำเป็นต้องใช้ อาจสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อประกอบการตัดสินใจ เพราะอาจมียาชนิดอื่นที่ทดแทนกันได้โดยไม่มีผลข้างเคียงดังกล่าว
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ เนื่องจากอาจทำให้เกิดฝ้าได้ นอกจากนี้ หากใช้เครื่องสำอางแล้วพบว่ามีรอยดำขึ้นบริเวณใบหน้า ควรหยุดใช้เครื่องสำอางนั้นทันที และหากสงสัยว่าคุณแพ้สารเคมีชนิดใด สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อทดสอบอาการแพ้ได้เช่นกัน
  • การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี เป็นวิธีที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก เพราะก่อให้เกิดการระคายเคืองค่อนข้างสูง และหลังทำต้องระมัดระวังเรื่องการสัมผัสกับแสงแดดมากกว่าปกติ เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองอย่างมาก


การรักษาฝ้าอย่างถูกวิธี


วิธีการรักษาฝ้ามีหลากหลายวิธี ซึ่งการจะรักษาฝ้าให้หายได้นั้น สิ่งแรกที่ควรทำคือวินิจฉัยให้แน่ชัดว่าฝ้าที่เกิดขึ้นเป็นฝ้าชนิดใด มีสาเหตุมาจากอะไร จะได้รักษาได้ตรงจุด โดยวิธีการรักษาฝ้าในทางการแพทย์มี 2 วิธีหลักๆ ดังนี้
1.การทายารักษา วิธีนี้จะได้ผลดีในฝ้าตื้น เมื่อทายาประมาณ 2 เดือนสีของฝ้าจะจางลง และควรใช้ยาทาต่อเนื่องประมาณ 6 เดือน จะให้ผลชัดเจนยิ่งขึ้น โดยยาที่ใช้รักษาฝ้านั้นมีหลายชนิด เช่น
  • ไฮโดรควิโนน
  • กรดอาซีลาอิก
  • กรดโคจิก
  • อนุพันธุ์ของวิตามินเอ

ยาทาเหล่านี้จะช่วยให้ฝ้าจางลงและทำให้หน้าดูกระจ่างใสขึ้นได้ แต่ข้อสำคัญคือไม่ควรซื้อยาเหล่านี้มาใช้เอง เพราะอาจส่งผลข้างเคียงได้ หรือบางคนอาจเกิดอาการแพ้ เช่น ผิวอาจแดง แสบ และ ลอกเป็นขุยได้ จึงต้องใช้อย่างระมัดระวังและอยู่ในความดูแลของแพทย์ผิวหนังอย่างใกล้ชิด
2.การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยทุกวันนี้มีเทคโนโลยีมากมายที่มีส่วนช่วยในการรักษาฝ้า ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ไม่ว่าจะเป็น


  • การลอกผิวด้วยสารเคมีในระดับตื้น เหมาะกับฝ้าตื้น โดยใช้กรดทำให้เซลล์ผิวหนังกำพร้าที่มีเม็ดสีมากกว่าปกติหลุดลอกออกเร็วขึ้น ทำให้ฝ้าบริเวณนั้นจางลง แต่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดอาจทำให้ผิวไหม้หรือเป็นแผลเป็นได้
  • การลอกผิวด้วยสารเคมีในระดับลึก เหมาะกับฝ้าลึก เป็นการใช้กรดในการลอกฝ้าเช่นกัน แต่จะลอกในระดับที่ลึกกว่า จึงต้องใช้ความระมัดระวังสูงและความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และอาจมีผลข้างเคียงได้ เช่น รอยดำ แผลเป็น การติดเชื้อ บวมแดง เป็นต้น หากหลังจากลอกผิวแล้วพบความผิดปกติใดๆ ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน
  • เลเซอร์ นับเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นิยมอย่างแพร่หลาย โดยจะใช้เลเซอร์กลุ่ม Q-switched Nd: YAG laser หรือ คลื่นแสง IPL (Intense pulsed light) ซึ่งมีส่วนช่วยให้ฝ้าจางลงเร็วกว่าใช้ยาทาเพียงอย่างเดียว และยังช่วยลดผลข้างเคียงในการใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่วิธีนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันถึงผลการรักษาที่ชัดเจน เพราะบางรายอาจหายขาด แต่บางรายอาจให้ผลได้ไม่ดีนัก จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ
  • การทำไอออนโต (Ionto) จะเป็นการใช้กระแสไฟฟ้าระดับอ่อน ผลักยาหรือวิตามินให้ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้ฝ้าจางลงได้
  • การผลัดผิวด้วย M.D. (Microdermabrasion) เป็นการขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้หลุดเร็วขึ้น เหมาะกับฝ้าแบบตื้น ทำให้รอยดำจากฝ้าจางลง
แต่ถ้าไม่อยากใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น ครูดานิขอเสนอสมุนไพรที่ตอบโจทย์การกำจัดฝ้าแบบค่อยๆ จ่างหายแบบธรรมชาติ กับชุดหน้าสวยดีที่ครูทำใช้และฝ้าหายมาแบ่งปันกับทุกคน ปลอดภัยหายห่วง ใช้แล้วหน้าไม่พัง ครูการรันตี มีอย. ทุกตัว


หน้าของเราจะให้ฝ้าเต็มหน้าก่อนค่อยรักษา
รึคะ ถึงเวลาที่เราต้องรักตัวเองแล้วคะ

ครูดานิการันตีเห็นผลในครั้งที่ใช้
ครูยังสวยแล้วเพื่อนจะไม่สวยได้อย่างคะ ทักมาคะ

เบอร์โทรติดต่อ: 0625945642, 0614696546
Line ld : dani5642
YouTube : dani dani soap
Facebook : สอนทำสบู่ เรียนทำสบู่ สอนออนไลน์ ครูดานิ