วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2562

น้ำมันบำรุงผิวหน้าจากธรรมชาติ ยิ่งใช้ยิ่งดี ผิวยิ่งเด้ง


         หากพูดถึงน้ำมันบำรุงผิวหน้า สาวผิวมันส่วนใหญ่จะขอเซย์โนทันทีเพราะคิดว่าจะยิ่งทำให้หน้ามันไปกันใหญ่ และเมื่อผิวมันอยู่แล้ว ยิ่งใช้จะยิ่งเป็นสิวไหม? 
        ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงเลือกใช้แต่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เป็นสูตร Oil-Free เพื่อไม่ให้มีน้ำมันไปอุดตันรูขุมขนและทำให้เป็นสิวได้ 
        แต่ในความเป็นจริงน้ำมันคือส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยรักษาความสมดุล ช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ ไม่แห้งหรือมันเกินไป 
       เมื่อผิวมีความสมดุลปัญหาผิวอื่นๆก็จะไม่ตามมา แถมช่วยไม่ให้สิวบุกอีกด้วย 
      ซึ่งเคล็ดลับผิวสมดุลด้วยการทาน้ำมันบำรุงผิวมีมาตั้งแต่ยุคสมัยอียิปต์โบราณ คลีโอพัตราได้คัดสรรสารพัดน้ำมันมาประทินโฉมและผลลัพธ์ที่น่าทึ่งก็เป็นอย่างที่เราๆทราบกันตามตำนานว่าผิวของเธองดงามไร้ที่ติจริงๆ
       สำหรับสาวผิวแห้งถึงผิวธรรมดายิ่งเหมาะกับการใช้น้ำมันบำรุงผิวเพราะผิวต้องการความชุ่มชื่นมากกว่าสาวผิวมัน 
      นอกจากนี้ก็ยังมีสาวๆที่เริ่มมีริ้วรอยมาถามหาก็ยิ่งต้องใช้เพราะริ้วรอยเป็นตัวบ่งบอกว่าผิวขาดความชุ่มชื่นอย่างรุนแรง 
      ดังนั้นไม่ว่าจะมีสภาพผิวแบบไหนก็ควรหาน้ำมันมาบำรุงเพื่อให้ผิวเกิดความสมดุลและชุ่มชื่น 
      ปัญหาผิวต่างๆก็จะไม่มากวนใจ และต้องบอกเลยว่าน้ำมันนั้นมีคุณภาพประสิทธิภาพไม่แพ้ครีมบำรุงที่หลายคนกำลังใช้อยู่เลยทีเดียว และเพื่อให้สาวๆ  เลือกน้ำมันบำรุงผิวได้ตรงความต้องการ 

      มาดูคุณสมบัติของน้ำมันมาฝากกัน อยากหน้าเด้งเบอร์ไหน เลือกใช้กันได้เลย
1. น้ำมันโจโจบา
        เริ่มต้นด้วยน้ำมันที่สามารถดูแลผิวได้หลากหลายด้านอย่าง Jojoba Oil หรือน้ำมันโจโจบาซึ่งหลายคนจะคุ้นหูกันดีเพราะน้ำมันชนิดนี้ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากมาย 
      จะดีกว่ามากถ้าเราได้บำรุงผิวด้วยน้ำมันโจโจบาแบบเพียวๆ ด้วยความบางเบาที่แทบไม่ต่างจากน้ำมันซีบัมที่หล่อลื่นผิวตามธรรมชาติ 
      ทุกครั้งที่ทาจะซึมซาบได้เป็นอย่างดี ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีคือผิวหน้าที่เงาสวย 
      ใครที่ชอบผิววาวแบบสาวเกาหลีต้องลองเลย นอกจากผิวเด้งๆแล้วยังช่วยต้านการอักเสบ เป็นสิวก็สามารถใช้ได้ ผิวแพ้ง่ายก็เหมาะเพราะมีความอ่อนโยน สำหรับใครที่เริ่มมีริ้วรอยก็เวิร์ค 
       นอกจากใช้กับผิวแล้วยังใช้บำรุงเส้นผมได้ด้วย ทูอินวันกันไปเลย
2. น้ำมันโรสฮิป
       โรสฮิปก็เป็นน้ำมันอีกหนึ่งชนิดที่กำลังมาแรง ขึ้นชื่อในเรื่องการสร้างเซลล์ผิวและผลิตคอลลาเจน เหมาะมากกับคนที่ต้องการสมานแผล 
       มีวิตามินซี กรดไขมัน โอเมก้า3 โอเมก้า6 จะช่วยรักษาเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังมีกรดเรติโนซึ่งช่วยเรื่องการลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวสว่างใส ให้ความชุ่มชื้น มอบความสมดุลให้ผิวไม่แพ้ง่าย ลดอาการอักเสบและความแห้งกร้าน 
      คุณสมบัติที่โดดเด่นมากคือการฟื้นฟูผิวที่ไหม้จากแสงแดดและรังสี สำหรับข้อมูลที่ควรทราบสำหรับน้ำมันชนิดนี้คือไม่ควรใช้ทาผิวเพียงอย่างเดียว แต่ควรตามด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้เป็นประจำอยู่ด้วย เพราะแม้จะมีคุณค่าบำรุงที่ครบครันก็อาจทำให้ภาพรวมของผิวดูแห้ง ถ้าใช้น้ำมันโรสฮิปเดี่ยวๆ
3. น้ำมันมะพร้าว
       ขึ้นแท่นน้ำมันเพื่อความงามไปแล้วสำหรับน้ำมันมะพร้าวเพราะอยู่คู่ผู้หญิงรักสวยรักงามมาตั้งแต่สมัยโบราณ หลักๆคือเป็นตัวช่วยที่ยอดเยี่ยมสำหรับสาวผิวแห้งเนื่องจากขาดความชุ่มชื้น 
     ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งเป็นขุย แตก ลอก มีผื่นแพ้ แค่ใช้สำลีชุบน้ำอุ่น บีบน้ำออก แล้วหยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยด ทาให้ทั่วใบหน้า ผิวหน้าจะกลับมาชุ่มชื้น ละเอียดขึ้น แถมจุดด่างดำจากสิวก็ลดเลือนลงด้วย 
     สำหรับสาวที่มีผิวแห้งมากๆสามารถทาที่ผิวหน้าโดยตรงได้ และแนะนำให้เลือกเป็นน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเพราะจะยังคงคุณค่าของวิตามินอีเอาไว้ ในช่วงกลางคืนสามารถทาบางๆแทนครีมบำรุงผิวได้เลย
4. น้ำมันมะกอก
      เป็นอีกหนึ่งชนิดน้ำมันที่อยู่คู่คนไทยมานานโดยเฉพาะการบำรุงเส้นผม แต่น้ำมันมะกอกยังดูแลผิวของเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 
     คุณสมบัติเด่นคือการต้านอนุมูลอิสระต้นเหตุของผิวแก่ก่อนวัย ปกป้องหนังกำพร้าและช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น 
     สำหรับผิวหน้าให้ทาน้ำมันมะกอกบางๆก่อนนอนทุกคืน สำหรับผิวกายให้ผสมน้ำมันมะกอก 5 ช้อนชาลงไปในอ่างอาบน้ำ แนะนำให้อุณหภูมิของน้ำมีความอุ่น ความร้อนจะช่วยให้วิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระซึมซาบสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น 
    ช่วยให้ขนตาและคิ้วดกดำอย่างเป็นธรรมชาติ ใครที่อยากคิ้วเข้มหรือมีขนตาที่หนาขึ้นสามารถแตะน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลงบริเวณแนวขนตาและคิ้วทา ทำอย่างต่อเนื่องจะเห็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ
5. น้ำมันเมล็ดองุ่น
         น้ำมันเมล็ดองุ่นได้รับตำแหน่งซูเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์ไปครอง เพราะมีโอลิโกเมริคโปรแอนโธไซยานิดีน (Oligomeric Proanthrocyanidin) หรือ OPC ในปริมาณสูงมาก 
        มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่าและสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า แน่นอนว่าจะช่วยสาวๆ ชะลอการเกิดริ้วรอย 
     หากต้องการการบำรุงอย่างเต็มที่ต้องเลือกแบบสกัดเย็น น้ำมันเมล็ดองุ่นจะช่วยให้เซลล์อ่อนเยาว์และยืดอายุให้อยู่นานขึ้น 
     ที่สำคัญน้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว และสามารถจับกับโปรตีนที่เป็นโครงสร้างของคอลลาเจนในผิว จึงช่วยปกป้องคอลลาเจนและผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ 
     ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดีและตึงกระชับ นอกจากใช้บำรุงผิวอย่างล้ำลึกแล้วยังสามารถนำไปผสมกับน้ำมันโจโจบาสำหรับนวดผิวหน้าเพื่อล้างเครื่องสำอางได้อีกด้วย
6. น้ำมันละหุ่ง
        สำหรับคนที่มีปัญหาสิวและผิวอักเสบบ่อยๆต้องลองหาน้ำมันละหุ่งมาใช้ 
       ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านการอักเสบและเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของสิว มีทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินอี โปรตีน และแร่ธาตุ 
       จะช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวรวมถึงป้องกันการเปลี่ยนสีและแผลเป็นจากสิวด้วย แต่จุดด้อยคือน้ำมันชนิดนี้มีความข้นเหนียวหากใช้เดี่ยวๆจะทำให้ผิวแห้งเกินไป 
      วิธีแก้คือนำไปผสมกับน้ำมันชนิดอื่นอย่างน้ำมันโจโจบาหรือน้ำมันมะกอก นอกจากจะช่วยให้ทาได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงผิว ผิวไม่แห้ง โดยผสมน้ำมันละหุ่งกับน้ำมันอีกชนิดในปริมาณที่เท่ากัน 
      วิธีการใช้ที่แนะนำคือนำน้ำมันที่ผสมกันแล้วเทใส่มือประมาณ 1/4 ของฝ่ามือ จากนั้นทาให้ทั่วใบหน้าที่แห้งสนิท ทิ้งไว้หนึ่งนาที แล้วชุบผ้าลงในน้ำร้อน บิดหมาดๆ วางประคบบนใบหน้าประมาณ 30 วินาที เมื่อเช็ดออกก็จะสัมผัสได้ถึงผิวหน้าที่เกลี้ยงเกลาขึ้นจนสังเกตเห็นได้

      น้ำมันที่กล่าวมามีสรรพคุณช่วยในเรื่องของบำรุงผิวมากมาย แต่ถ้าบางคนการที่จะนำมาใช้แบบเพียว ๆ อาจจะรู้สึกรำคาญหรือแหนะหนะผิว 
     ขอแนะนำ สบู่รังไหม-น้ำผึ้ง จาก dani dani soap  
สูตรลดฝ้าหน้าเด้ง และสูตรลดสิว ทั้ง 2 สูตรนี้ มีสรรพคุณของน้ำมันพวกนี้ด้วยนะคะ อยากพิสูจน์ต้องลองคะ ผิวคุณจะเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ผิวขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติแน่นอน ที่สำคัญปลอดภัย 100% จ้า
สนใจทักมาคะ Line: dani5642

เครดิต: issue247

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2562

สอนวิธีการทำเดย์ครีมแบบง่าย ครูดานิ





ชวนมาทำเดย์ครีมคะ

สูตรนี้ เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง 
สามารถใช้เป็นครีมกันแดดในตัวได้เลย
มีส่วนผสมของ น้ำมันที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงผิว

น้ำมันโจโจบา

         เป็นน้ำมันที่สามารถดูแลผิวได้หลากหลายด้านอย่าง Jojoba Oil หรือน้ำมันโจโจบาซึ่งหลายคนจะคุ้นหูกันดีเพราะน้ำมันชนิดนี้ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากมาย แต่จะดีกว่ามากถ้าเราได้บำรุงผิวด้วยน้ำมันโจโจบาแบบเพียวๆ ด้วยความบางเบาที่แทบไม่ต่างจากน้ำมันซีบัมที่หล่อลื่นผิวตามธรรมชาติ ทุกครั้งที่ทาจะซึมซาบได้เป็นอย่างดี ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีคือผิวหน้าที่เงาสวย ใครที่ชอบผิววาวแบบสาวเกาหลีต้องลองเลย นอกจากผิวเด้งๆแล้วยังช่วยต้านการอักเสบ เป็นสิวก็สามารถใช้ได้ ผิวแพ้ง่ายก็เหมาะเพราะมีความอ่อนโยน สำหรับใครที่เริ่มมีริ้วรอยก็เวิร์ค นอกจากใช้กับผิวแล้วยังใช้บำรุงเส้นผมได้ด้วย ทูอินวันกันไปเลย
น้ำมันอโวคาโด

     มีสารต้านอนุมูลอิสระ  ช่วยลดริ้วรอยแห่งวัยได้ดี ทำให้คงความอ่อนเยาว์  สามารถซึมลงสู่ผิวได้ดี ไม่เหนียวหนะแหนะ มีวิตามิน A  B  D  และ E ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น และช่วยยืดอายุของเซลล์ผิว ทำให้จุดด่างดำและรอยแผลเป็นจางลง บำรุงผิวได้ดี ทำให้ผิวเนียนนุ่ม เหมาะสำหรับผิวแห้งกร้าน

เซย์บัตเตอร์

   จัดอยู่ในตระกูลของเนยธรรมชาติ เป็นผลผลิตจากต้นเซย์ซึ่งเป็นพีชตระกูลถั่ว มีก้อนแข็ง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวอ่อน ๆ สามารถลดอาการแพ้ระคายเคืองของผิวได้ ใช้เป็นตัวป้องกันและลดอาการผิวแตกลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถมอบความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดี ช่วยลดเลือนริ้วรอยและซ่อมแซมยืดอายุของเซลล์ผิวได้อย่างล้ำลึก 

ซิงค์ออกไซด์

เป็นสารที่เป็นผลึก ไม่มีสี ไม่ละลายน้ำ แต่ละลายในกรด ปกป้องผิวจากแสงรังสีได้ ช่วยต้านการระคายเคือง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบบอ่อน ๆ  ช่วยลดผดผื่นแพ้ จึงเหมาะที่จะใช้เป็นสารกันแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย

เรามาดูส่วนผสมและวิธีการทำกันคะ

ส่วนผสม

น้ำมันอโวคาโด 100 กรัม
น้ำมันโจโจ้บา  60 กรัม
เชียบัตเตอร์  25 กรัม
บีแว็กซ์  30 กรัม
ซิงค์ออกไซด์  45 กรัม
สารกันเสีย 0.5 กรัม (ใส่ก็ได้ไม่ใส่ก็ได้)




วิธีการทำ

1.ผสมน้ำมันอโวคาโด น้ำมันโจโจ้บา เชียบัตเตอร์ และบีแว็กซ์ เข้าด้วยกัน แล้วนำไปเข้าไมรโครเวฟ ให้ทั้งหมดละลายเป็นเนื้อเดียวกัน (หรือตั้งหม้อ 2 ชั้นเพื่อละลายส่วนผสมทั้งหมดก็ได้)
2.เมื่อทั้งหมดละลายดีแล้ว ให้ใส่ ซิงค์ออกไซด์ลงไปที่ละน้อย ๆ  แล้วคนให้เข้ากัน ทำแบบนี้เรื่อย ๆ จนกว่าซิงค์ออกไซด์จะหมด)
3.เมื่อทุกอย่างเข้ากันดีแล้ว สามารถเทใส่บรรจุภัณฑ์วางทิ้งไว้ หรือ นำเข้าตู้เย็นเพื่อให้ครีมเซ็ทตัว

ทิป

1.สามารถใส่น้ำหอม  วิตามินอี  สารสกัดได้ ตามชอบ
2.ให้ใส่น้ำหอม วิตามิน และสารสกัด ตอนที่อุณหภูมิลดลงเหลือประมาณ 30 องศานะจ๊ะ
3.ถ้าใส่กันเสีย เก็บได้นานเป็นปีจ้า
4.ถ้าไม่ใส่กันเสีย เก็บได้ 3 เดือนจ้า

เอาละจ้าลองทำกันดูนะคะ เดย์ครีมนี้ สามารถใช้เป็นครีมกันแดดได้จ้า  ทำเป็นลองพื้นก็ได้ 

ครูดานิตา


               



ฝ้าคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร



ฝ้า นับเป็นหนึ่งในปัญหากวนใจที่ทำให้ใบหน้าของเราไม่กระจ่างใส แม้บางคนจะดูแลผิวหน้าอย่างดี ก็ยังมีฝ้าเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณโหนกแก้ม แก้ม หน้าผาก รอบๆ คิ้วรอบๆ ปาก ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจ เราจึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับฝ้า รวมทั้งวิธีการรักษาฝ้า อย่างเหมาะสมมาให้บอกคะ

ฝ้าคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร?


ฝ้า (Melasma) เกิดจากการที่เซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง หรือเม็ดสีเมลานิน (Melanin pigment) ทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุที่ทำให้เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกตินั้น ส่วนใหญ่มาจากการที่ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อรังสี UV ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เนื่องจากเม็ดสีเมลลานินมีหน้าที่กรองรังสี UV เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย จึงเกิดเป็นฝ้าซึ่งมีลักษณะเป็นสีดำอมน้ำตาล ขึ้นเป็นแถบหรือปื้นบริเวณใบหน้า
นอกจากนี้ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนไป เช่น เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ตั้งครรภ์ กินยาคุมกำเนิด หรือใช้เครื่องสำอางบางชนิด ที่มีน้ำหอม สี หรือฮอร์โมนผสมอยู่ ก็มีส่วนทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน
ทั้งนี้ส่วนใหญ่ปัญหาฝ้าจะเกิดกับผู้หญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปี ซึ่งผู้หญิงมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า!

ฝ้ามีกี่ชนิด

ฝ้าที่ขึ้นบริเวณใบหน้าของเราแบ่งได้เป็น 4 ชนิดหลักๆ คือ
1.ฝ้าตื้น เกิดจากความผิดปกติบริเวณชั้นหนังกำพร้า (ผิวชั้นนอก) มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม ขอบชัด มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ก็รักษาได้ง่ายเช่นกัน โดยใช้เวลารักษาไม่นานนั
2.ฝ้าลึก เกิดบริเวณชั้นหนังแท้ ผื่นสีน้ำตาผสมสีเทาเข้ม ขอบไม่ชัดเจน เนื่องจากอยู่ในระดับที่ลึกมาก การรักษาจึงค่อนข้างยาก
3.ฝ้าผสม นั่นคือ มีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกเกิดขึ้นที่ผิวหน้า เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในผู้ที่ประสบปัญหาฝ้า
4.ฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นฝ้าชนิดใด มักพบในผู้ที่สีผิวเข้มมาก เช่น ชาวแอฟริกัน เป็นต้น
นอกจาก 4 ชนิดหลักๆ นี้แล้ว ฝ้ายังสามารถแบ่งตามสาเหตุการเกิดได้ 2 ลักษณะคือ
ฝ้าแดด เกิดจากรังสียูวีเอและยูวีบีจากแสงแดด หลอดไฟ แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เป็นต้น
ฝ้าเลือด เกิดจากความผิดปกติของเลือดลมและฮอร์โมน เกิดเป็นลักษณะผิวแดงง่ายเมื่อโดนความร้อนหรือแสงแดด

วิธีการป้องกันฝ้า


  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด เนื่องจากรังสี UV จากแสงแดดเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า การหลีกเลี่ยงแสงแดดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันฝ้า แต่หากหลีกเลี่ยงได้ยาก ก็ไม่ควรสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง เช่น ควรสวมหมวก กางร่ม หรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด ก็จะสามารถลดความรุนแรงได้ระดับหนึ่ง
  • ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำ แต่หากสัมผัสกับหลอดไฟ แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอสมาร์ทโฟนอย่างสม่ำเสมอ ก็มีโอกาสเกิดฝ้าได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวด้วย โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และต้องเป็นชนิด PA+++ โดยทาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนออกแดด และทาวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและเที่ยง (ก่อนทารอบที่ 2 ควรล้างหน้าด้วย)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือฮอร์โมนเพศโดยไม่จำเป็น เนื่องจากยาหรือฮอร์โมนเพศบางชนิด มีผลข้างเคียงทำให้เป็นฝ้าได้ เช่น ยากันชักกลุ่มฟีไนโทอีน และกลุ่มยาที่มีปฏิกิริยาไวต่อแสง แต่หากจำเป็นต้องใช้ อาจสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อประกอบการตัดสินใจ เพราะอาจมียาชนิดอื่นที่ทดแทนกันได้โดยไม่มีผลข้างเคียงดังกล่าว
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ เนื่องจากอาจทำให้เกิดฝ้าได้ นอกจากนี้ หากใช้เครื่องสำอางแล้วพบว่ามีรอยดำขึ้นบริเวณใบหน้า ควรหยุดใช้เครื่องสำอางนั้นทันที และหากสงสัยว่าคุณแพ้สารเคมีชนิดใด สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อทดสอบอาการแพ้ได้เช่นกัน
  • การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี เป็นวิธีที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก เพราะก่อให้เกิดการระคายเคืองค่อนข้างสูง และหลังทำต้องระมัดระวังเรื่องการสัมผัสกับแสงแดดมากกว่าปกติ เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองอย่างมาก


การรักษาฝ้าอย่างถูกวิธี


วิธีการรักษาฝ้ามีหลากหลายวิธี ซึ่งการจะรักษาฝ้าให้หายได้นั้น สิ่งแรกที่ควรทำคือวินิจฉัยให้แน่ชัดว่าฝ้าที่เกิดขึ้นเป็นฝ้าชนิดใด มีสาเหตุมาจากอะไร จะได้รักษาได้ตรงจุด โดยวิธีการรักษาฝ้าในทางการแพทย์มี 2 วิธีหลักๆ ดังนี้
1.การทายารักษา วิธีนี้จะได้ผลดีในฝ้าตื้น เมื่อทายาประมาณ 2 เดือนสีของฝ้าจะจางลง และควรใช้ยาทาต่อเนื่องประมาณ 6 เดือน จะให้ผลชัดเจนยิ่งขึ้น โดยยาที่ใช้รักษาฝ้านั้นมีหลายชนิด เช่น
  • ไฮโดรควิโนน
  • กรดอาซีลาอิก
  • กรดโคจิก
  • อนุพันธุ์ของวิตามินเอ

ยาทาเหล่านี้จะช่วยให้ฝ้าจางลงและทำให้หน้าดูกระจ่างใสขึ้นได้ แต่ข้อสำคัญคือไม่ควรซื้อยาเหล่านี้มาใช้เอง เพราะอาจส่งผลข้างเคียงได้ หรือบางคนอาจเกิดอาการแพ้ เช่น ผิวอาจแดง แสบ และ ลอกเป็นขุยได้ จึงต้องใช้อย่างระมัดระวังและอยู่ในความดูแลของแพทย์ผิวหนังอย่างใกล้ชิด
2.การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยทุกวันนี้มีเทคโนโลยีมากมายที่มีส่วนช่วยในการรักษาฝ้า ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ไม่ว่าจะเป็น


  • การลอกผิวด้วยสารเคมีในระดับตื้น เหมาะกับฝ้าตื้น โดยใช้กรดทำให้เซลล์ผิวหนังกำพร้าที่มีเม็ดสีมากกว่าปกติหลุดลอกออกเร็วขึ้น ทำให้ฝ้าบริเวณนั้นจางลง แต่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดอาจทำให้ผิวไหม้หรือเป็นแผลเป็นได้
  • การลอกผิวด้วยสารเคมีในระดับลึก เหมาะกับฝ้าลึก เป็นการใช้กรดในการลอกฝ้าเช่นกัน แต่จะลอกในระดับที่ลึกกว่า จึงต้องใช้ความระมัดระวังสูงและความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และอาจมีผลข้างเคียงได้ เช่น รอยดำ แผลเป็น การติดเชื้อ บวมแดง เป็นต้น หากหลังจากลอกผิวแล้วพบความผิดปกติใดๆ ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน
  • เลเซอร์ นับเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นิยมอย่างแพร่หลาย โดยจะใช้เลเซอร์กลุ่ม Q-switched Nd: YAG laser หรือ คลื่นแสง IPL (Intense pulsed light) ซึ่งมีส่วนช่วยให้ฝ้าจางลงเร็วกว่าใช้ยาทาเพียงอย่างเดียว และยังช่วยลดผลข้างเคียงในการใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่วิธีนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันถึงผลการรักษาที่ชัดเจน เพราะบางรายอาจหายขาด แต่บางรายอาจให้ผลได้ไม่ดีนัก จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ
  • การทำไอออนโต (Ionto) จะเป็นการใช้กระแสไฟฟ้าระดับอ่อน ผลักยาหรือวิตามินให้ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้ฝ้าจางลงได้
  • การผลัดผิวด้วย M.D. (Microdermabrasion) เป็นการขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้หลุดเร็วขึ้น เหมาะกับฝ้าแบบตื้น ทำให้รอยดำจากฝ้าจางลง
แต่ถ้าไม่อยากใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น ครูดานิขอเสนอสมุนไพรที่ตอบโจทย์การกำจัดฝ้าแบบค่อยๆ จ่างหายแบบธรรมชาติ กับชุดหน้าสวยดีที่ครูทำใช้และฝ้าหายมาแบ่งปันกับทุกคน ปลอดภัยหายห่วง ใช้แล้วหน้าไม่พัง ครูการรันตี มีอย. ทุกตัว


หน้าของเราจะให้ฝ้าเต็มหน้าก่อนค่อยรักษา
รึคะ ถึงเวลาที่เราต้องรักตัวเองแล้วคะ

ครูดานิการันตีเห็นผลในครั้งที่ใช้
ครูยังสวยแล้วเพื่อนจะไม่สวยได้อย่างคะ ทักมาคะ

เบอร์โทรติดต่อ: 0625945642, 0614696546
Line ld : dani5642
YouTube : dani dani soap
Facebook : สอนทำสบู่ เรียนทำสบู่ สอนออนไลน์ ครูดานิ


วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เป็นฝ้าอยู่ใช่..หรือเปล่า กลับมาขาวใสได้อีกครั้ง ต้องทำแบบนี้




ทำอย่างไร ให้หน้าขาวใส ฝ้าจางลง
      ลองส่องกระจกดูแล้ว… ผิวหน้ายังไม่มีปัญหาเรื่อง ฝ้า และคิดว่ามันคงไม่ใช่ตัวการสำคัญที่จะ ให้มานั่งกังวลใจ ซึ่งเชื่อว่าสาวๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นกัน ด้วยความประมาทตรงนี้นี่เองที่ทำให้เรามองข้ามภัยเงียบของปัญหาผิวชนิดนี้ไป 


     พออายุเหยียบเข้าเลขสามเมื่อไหร่ รอยหมองคล้ำที่เป็นฝ้าแผ่นบางๆ ก็เริ่มปรากฏชัด ! จนทำให้สาวๆ สูญเสียความมั่นใจ แบบนี้  dani dani soap ต้องขอเตือนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ใครที่เริ่มเจอแผ่นฝ้าบนผิวหน้ากันแล้ว ลองมาดูวิธีแก้ที่จะช่วยดึงความมั่นใจให้ หน้าขาวใส ฝ้าจาง หาย กันดีกว่าจ้า

      หมดปัญหาฝ้ากวนใจ หน้าขาวใส ฝ้าจาง ด้วยการเครื่องสำอางที่มีคุณภาพไร้สารแต่งกลิ่นจากเคมี
อย่าคิดว่าฝ้าเกิดจากแสงแดดอย่างเดียว เพราะบางคนที่แทบจะไม่ได้ตากแดด ใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ผิวหน้ายังมีปัญหาฝ้าเกิดขึ้นได้ 




     แบบนี้ขอบอกว่าสามารถเกิดขึ้นจากเครื่องสำอางไร้คุณภาพที่สาวๆ ใช้กันอยู่ทุกวันนี่เองค่ะ ซึ่งฝ้ามักจะถูกกระตุ้นได้จากเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารกันบูด น้ำหอม สีเคมี และส่วนผสมจากเคมีที่มากเกินไป เพื่อเป็นการหยุดไม่ให้เม็ดสีบนผิวถูกกระตุ้นมากขึ้น 



    ลองเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีคุณภาพ และอย่าเน้นที่กลิ่นหอมหรือสีสันฉูดฉาด ทางที่ดีผิวหน้าสวยใสแบบธรรมชาติก็เป็นเทรนด์ที่ทำให้สาวๆ มีเสน่ห์ได้ไม่แพ้กัน
    ทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงขัดขวางการสร้างสารอนุมูลอิสระ ทำให้หน้าขาวใส ฝ้าจางหาย



      ฝ้าเกิดได้จากความเครียด !! เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้ ก็เพราะผลของความเครียดไปกระตุ้นให้ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน การทำงานของระบบภายในจึงรวนเป็นลูกโซ่ กระทบไปยันตัวสร้างเม็ดสีผิวใต้ผิวหนัง และนั่นทำให้เกิดการกระจายตัวของเม็ดสีผิวเมลานิน 
     อีกทั้งยังเป็นตัวกระตุ้นการเกิดสารอนุมูลอิสระ เข้าไปเพิ่มการทำงานของเมลาโนไซต์ ซึ่งเป็นตัวสร้างสีหรือเรียกได้ว่าเป็นตัวกำหนดสีผิวของเรา
    ยิ่งมีมากก็ยิ่งทำให้เม็ดสีเมลานินที่ผิวของเราเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นแผ่นฝ้า การทานวิตามินซีที่จะช่วยลดการทำงานของสารชนิดนี้และช่วยกำจัดสารอนุมูลอิสระควรอยู่ที่ 2,000 มิลลิกรัม จากผักและผลไม้ หรือหากเลือกไม่ได้ก็สามารถรับจากอาหารเสริมเพิ่มเติม เป็นทั้งตัวช่วยลดความเครียดและป้องกันและลดการเกิดฝ้าไปในตัวด้วย

     ด้วยวิธีการที่แนะนำไปจะช่วยป้องกันไม่ให้สาวๆ เจอผลกระทบจากการกำจัดฝ้าด้วยวิธีผิดๆ จนทำให้ผิวบาง หน้าพัง จนหมดความสวยหนักเข้าไปอีก ส่วนใครที่ยังมีผิวหน้าสวยใสอยู่ก็อย่าชะล่าใจ ดูแลผิวของตัวเองให้ดีๆ ด้วยนะคะ

วิธีง่ายๆ ในการทำให้หน้าขาวใส ฝ้าจางนั้น ให้เลือกใช้ สบู่รังไหม-น้ำผึ้ง สูตรลดฝ้าหน้าเด้ง  หรือ สบู่สูตรลดสิว  หรือ ครีมบำรุงผิวสูตรลดฝ้า ลองมาใช้ชุดผิวหน้าจาก dani dani Soap ดูสิคะ แล้วคุณจะติดใจ

สนใจทักมาคะ Line :dani5642






ถ้าไม่อยากมีริ้วรอยก่อนวัย ....ห้าม!!!!! ทำแบบนี้





พฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร เพื่อผิวสวยสดใส ดูเปล่งปลั่งเต่งตึงแบบสาวสุขภาพดี

ปฏิเสธไม่ได้ว่าริ้วรอยบนใบหน้านี่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้หญิงเรา ทั้งรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก ร่องแก้ม รวมไปถึงตีนกา 

มักจะเกิดกับหญิงสาวสูงวัย แต่เดี๋ยวนี้เจ้าริ้วรอยกลับปรากฏกับหญิงสาวที่อายุยังไม่มากด้วยเช่นกัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสาว ๆ เหล่านั้นมีพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร

เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง เพื่อที่สาว ๆ จะได้สำรวจตัวเองและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้กันค่ะ

1. การนอนคว่ำทำให้หน้าเราถูกกดทับ


    การนอนคว่ำทำให้ใบหน้าของสาว ๆ โดนกดทับกับหมอนตลอดทั้งคืน อีกทั้งครีมบำรุงหรือเซรั่มต่าง ๆ ที่ทาทิ้งไว้ก่อนนอนก็จะไม่ได้ผลอย่างเต็มที่
เพราะถูกเช็ดออกด้วยปลอกหมอนนั่นเอง 
   ส่วนการนอนตะแคงซ้ายหรือขวาก็เพิ่มริ้วรอยบริเวณแก้มและคางเช่นกัน ดังนั้นท่านอนที่ดีที่สุดคือนอนหงาย เพราะใบหน้าของเราจะไม่โดนกดทับและสัมผัสกับอะไรเลย



2. ชอบทานของหวานเป็นชีวิตจิตใจ

    ของหวานนี่ถือว่าเป็นทั้งลูกรักและลูกชังของสาว ๆ เลยทีเดียว เพราะตอนกินเข้าไปก็อร่อยมีความสุข แต่พอกินเสร็จก็ดันมาสำนึกผิดถึงแคลอรีที่ต้องกำจัดออกไป แต่ข้อเสียของมันไม่ได้มีเพียงเท่านั้นของหวานที่มีน้ำตาลมากยังทำให้หน้าสูญเสียความยืดหยุ่น ผิวไม่เรียบเนียน เกิดริ้วรอย เพราะถูกน้ำตาลทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนังของเรานั่นเอง
                      


3. ขี้เกียจทาครีมกันแดด


    แสงแดดเป็นศัตรูตัวฉกาจของสาว ๆ นอกจากจะทำให้ผิวคล้ำเสียแล้วยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า ยิ่งบ้านเราร้อนขนาดนี้ ต่อให้ทำงานในที่ร่มหรือแทบไม่โดนแดดเลยแต่ผิวหนังของสาว ๆ ก็ยังโดนทำร้ายจากรังสียูวีอยู่ 

   ดังนั้นก่อนออกจากบ้านต่อให้ไม่แต่งหน้าก็สละเวลาทาครีมกันแดดสักนิดเนอะ
                         


4. ดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย


    ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% โดยเฉพาะน้ำที่ประกอบอยู่ในเซลล์นั้นมีมากถึง 60% ดังนั้นสาว ๆ ลองคิดดูนะคะว่าถ้าเซลล์เหี่ยวแล้ว ใบหน้าของเราก็จะแห้งและเกิดรอยย่นตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดรอยเหี่ยวย่น สาว ๆ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ 6-8 แก้วต่อวัน โดยการจิบทีละนิด ๆ ไม่จำเป็นต้องดื่มทีเดียวหมดแก้วก็ได้ค่ะ




5. อยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยมลภาวะ


     สำหรับสาว ๆ ที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ก็ไม่อาจเลี่ยงฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ได้เลย ซึ่งเป็นมลภาวะที่ทำร้ายผิวของเราโดยตรง ส่งผลให้ผิวของเราหยาบกร้าน เกิดรอยดำรอยแดง รวมไปถึงริ้วรอยต่าง ๆ ดังนั้นถ้าหากเป็นไปได้ สาว ๆ ควรจะหลีกเลี่ยงบริเวณที่เต็มไปด้วยควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรือไม่ก็ทาครีมบำรุง ดื่มน้ำและผลไม้จำพวกรสเปรี้ยวแทนนะคะ


                                  


6. ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย ๆ


     แอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มที่ทุกคนรู้ดีว่าส่งผลเสียต่อระบบร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะการดื่มแอลกอฮอล์บ่อย ๆ ทำให้ผิวหนังของเราขาดน้ำ เสียความยืดหยุ่น และทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย รู้แบบนี้แล้วสาวสังคมชอบปาร์ตี้ก็เพลา ๆ ลงหน่อยนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหน้าแก่ก่อนวัยไม่รู้ด้วยนะ



9. ชอบหยีตาหรือเพ่งสายตา


    ในขณะที่เราทำงานจ้องคอมพิวเตอร์นาน ๆ อาจไม่รู้ตัวว่าชอบหยีตา เพื่อเพ่งจอให้มองเห็นชัดมากขึ้น ซึ่งตรงนี้เองที่เป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยบริเวณหน้าผากและหางตา ดังนั้นสาว ๆ ที่รู้ตัวว่าชอบเพ่งสายตาควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดและหาแว่นสายตาที่เหมาะสมนะคะ





10. เครียดมากจนเกินไป

      อีกหนึ่งสาเหตุที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเมื่อเวลาเราเครียด ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลไปทำลายคอลลาเจนใต้ผิวเรา ทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น รวมไปถึงการแสดงท่าทางความเครียดอย่างคิ้วขมวด ก็ทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณหน้าผากและหางตาได้เช่นกันค่ะ

สาว ๆ คนไหนที่รู้ตัวว่ามีพฤติกรรม 10 ข้อข้างต้นก็ปรับเปลี่ยนด่วน ๆ เลยนะคะ ไม่อย่างนั้นริ้วรอยได้ถามหาก่อนวัยอันควรแน่นอน พอถึงเวลานั้นแล้วต่อให้ครีมหรือเลเซอร์ที่ไหนก็ไม่อาจทำให้ผิวหน้าของเรากลับมาเรียบเนียนได้ดังเดิมแล้วล่ะ



ข้อมูลจาก : bustle.com และ allwomenstalk.com
เครดิต: เว็บกระปุก

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562

10 สูตร น้ำสมุนไพรแช่ตัว คนเข้ามาอ่านเยอะมากถึง 1000 ครั้งเลย...!!!




ผิวขาวราวน้ำนม เคยได้ยินประโยคแบบนี้ไหมคะ
เคยสงสัยไหมคะ ว่าทำไมผู้หญิงบางคนผิวถึงขาวกระจ่างใส เหมือนอาบน้ำแร่ แช่น้ำนม  

คุณดูแลผิวพรรณของคุณอย่างไรคะ ถ้าเราอยากผิวขาวกระจ่างใส ต้องแช่น้ำนมอย่างเดียว ไม่จำเป็นแล้วคะ เดียวนี้มีการอาบน้ำด้วยสมุนไพรสด หรือด้วยสบู่สมุนไพร ผิวก็ขาวกระจ่างใสได้

ครูดานิ จะแนะนำสูตรบำรุงผิวด้วยการแช่น้ำสมุนไพรสด  น้ำสมุนไพรเป็นทางเลือกที่ดีมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพผิวกายของเรา ช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ลดอาการเมื่อยล้าอ่อนแรง ลดความเครียด ช่วยให้สมองโปร่งใส อารมณ์แจ่มใส และส่งผลดีต่อผิวหนังทุกส่วนของร่างกายด้วยการบำบัดบำรุงผิวพรรณให้สะอาดสะอ้านผ่องใส และเนียนนุ่มเปล่งปลั่ง

ปัจจัยหลัก ๆ ในการอาบน้ำด้วยสมุนไพร คืออุณหภูมิของน้ำเวลาแช่ตัว ส่วนผสม ส่วนประกอบในการเลือกสมุนไพร ล้วนจำเป็นต้องรู้ก่อนที่จะอาบน้ำสมุนไพรสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละตัวว่าช่วยเรื่องอะไร เหมาะกับผิวของเราหรือไม่

ขั้นตอนการแช่น้ำสมุนไพร

1.เตรียมภาชนะสำหรับแช่ (ถังไม้ หรือ อ่างอาบน้ำ) ทำความสะอาดให้หมดจด
2.นำสมุนไพรที่เตรียมไว้ ใส่ลงไปในอ่างแช่ตัว
3.นำผลไม้ ล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วปั่นให้ละเอียดกรองเอาน้ำหรือใส่ทั้งเนื้อก็ได้ ใส่ลงไปในอ่างแช่ตัว (ไม่ต้องกรองก็ได้ถ้าปั่นละเอียดพอ)
4.จากนั้นนำน้ำอุ่นจัดใส่ลงไปเป็นอย่างสุดท้าย กะปริมาณให้ได้สามส่วนของพื้นที่ (หรือระดับน้ำให้เลยครึ่งอ่าง)
5.คนส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วอาบแช่น้ำขณะที่น้ำยังอยู่ที่อุณหภูมิ 36 องศาเซลเซียส
6.ก่อนลงแช่น้ำสมุนไพร ควรอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดก่อน พอจะลงแช่น้ำให้วักน้ำลูบไล้ให้ทั่วผิวกาย ไล่จากลำคอลงมา แล้วจงขัดถูเบา ๆ แล้วจึงลงแช่ตัวในอ่างน้ำ

สูตรการทำน้ำสมุนไพรแช่ตัว สูตรที่ 1

ส่วนผสม

1.น้ำคั้นจากผลไม้ เช่น ส้ม สัปปะรด มะเฟือง แตงโม มะขามเปียก ฯลฯ  ประมาณ 1 ถ้วยตวง
2.ใบส้มป่อยบด ขมิ้นชันบด ไพลสดบด 1 ถ้วยตวง
3.พิมเสน   1 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำอุ่น ตามสะดวก

สูตรการทำน้ำสมุนไพรแช่ตัว สูตรที่ 2

ส่วนผสม

1.น้ำคั้นจากผลไม้ เช่น ส้ม แครอท แตงกวา มะเขือเทศ ผักกาดหอม ผักขม  ฯลฯ  ประมาณ 1 ถ้วยตวง
2.ใบมะขาม มะกรูดสด ไพลสดบด อย่างละ 1 ถ้วยตวง
3.แป้งขาวโพด   1 ถ้วยตวง (นำแป้งข้าวโพด 1 ส่วนละลายน้ำสะอาด 1 ส่วน จะได้น้ำนมเข้มข้นจากแป้งข้าวโพด)
4.น้ำอุ่น ตามสะดวก

สูตรการทำน้ำสมุนไพรแช่ตัว สูตรที่ 3

ส่วนผสม

1.น้ำผึ้งบริสุทธิ์
2.ไพล ขมิ้นสด ใบมะขาม
3.น้ำมะขาม
4.น้ำอุ่น ตามเหมาะสม

สูตรการทำน้ำสมุนไพรแช่ตัว สูตรที่ 4

ส่วนผสม

1.น้ำนมจากธัญพืช เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลืองดิบ ข้าวโพดหวานดิบ  ลูกเดือยดิบ งาดำดิบ (เติมน้ำสะอาดปั่นให้ละเอียด)
2.ไพล มะกรูด ใบมะขาม ตะไคร้
3.ผงกระแจะจันทน์
4.น้ำอุ่น ตามเหมาะสม

สูตรการทำน้ำสมุนไพรแช่ตัว สูตรที่ 5

สูตรนี้เหมาะกับทุกสภาพผิว

ส่วนผสม
1.ตะไคร้สด  ต้มด้วยน้ำ 1 ลิตรจนน้ำเป็นสีเขียวอ่อน ๆ  
2. สะระแหน่  ว่านหางจระเข้
3.ไพล    ใบมะขามสด   รากหรือผงชะเอมเทศ
4.น้ำตาลทรายแดง
5.น้ำอุ่น ตามเหมาะสม

สูตรการทำน้ำสมุนไพรแช่ตัว สูตรที่ 6

ส่วนผสม

1.ดอกไม้สด  เช่น กุหลาบ ลีลาวดี พุดซ้อน ดาวเรือง มะลิ แก้ว จำปี จำปา (เด็ดออกเป็นกลีบ ๆ อย่าให้ช้ำ)
2. ขมิ้นชัน ไพลสด มะกรูดสด
3.น้ำข้าวโอ๊ต (ข้าวโอ๊ตแช่ในน้ำอุ่นให้นิ่ม เติมน้ำสะอาดแล้วปั่นให้เป็นเนื้อครีมข้น)
4.น้ำอุ่น ตามเหมาะสม

สูตรการทำน้ำสมุนไพรแช่ตัว สูตรที่ 7

ส่วนผสม

1.น้ำนมสด  3 ถ้วยตวง
2. ขมิ้นชัน ไพลสด  สะระแหน่  ใบมะขาม อย่างละ 1 ถ้วยตวง
3.น้ำผึ้ง  1 ถ้วยตวง
4.น้ำอุ่น ตามเหมาะสม

สูตรการทำน้ำสมุนไพรแช่ตัว สูตรที่ 8

ส่วนผสม

1.เบียร์สด  3 ถ้วยตวง
2. น้ำต้มสมุนไพร เช่น ไพลสด สะระแหน่ ใบมะขามสด (น้ำ 1 ลิตร ตั้งไฟใส่สมุนไพรลงไปต้มให้สมุนไพรละลายหรือรอให้เดือดสัก 20 นาที กรองเอาแต่น้ำมาใช้)
3.ดอกไม้ เช่น กุหลาบ มะลิ ดาวเรือง จำปี มะลิ (เด็ดกลีบใส่ลงไป)
4.น้ำอุ่น ตามเหมาะสม

สูตรการทำน้ำสมุนไพรแช่ตัว สูตรที่ 9

ส่วนผสม

1.น้ำช็อคโกแลตดำหรือช็อคโกแลตขาว 2-3 ถ้วยตวง (ช็อคโกแลต 1 ถ้วยตวงละลายน้ำร้อน 1 ถ้วยตวง)
2. น้ำต้มสมุนไพร เช่น ตะไคร้สด ไพลสด สะระแหน่ ใบมะขามสด (น้ำ 1 ลิตร ตั้งไฟใส่สมุนไพรลงไปต้มให้สมุนไพรละลายหรือรอให้เดือดสัก 20 นาที กรองเอาแต่น้ำมาใช้)
3.ดอกไม้ เช่น กุหลาบ มะลิ ดาวเรือง จำปี มะลิ (เด็ดกลีบใส่ลงไป)
4.น้ำอุ่น ตามเหมาะสม

สูตรการทำน้ำสมุนไพรแช่ตัว สูตรที่ 10

ส่วนผสม

1.น้ำชาเขียว  3 ซอง (ชาเขียว แช่น้ำร้อน 1 ลิตรจนเป็นชาเข้ม)
2. น้ำต้มสมุนไพร เช่น ตะไคร้สด ไพลสด สะระแหน่ ใบมะขามสด (น้ำ 1 ลิตร ตั้งไฟใส่สมุนไพรลงไปต้มให้สมุนไพรละลายหรือรอให้เดือดสัก 20 นาที กรองเอาแต่น้ำมาใช้)
3.การบูรบดละเอียก 1 ช้อนโต๊ะ
4.ดอกไม้ เช่น กุหลาบ มะลิ ดาวเรือง จำปี มะลิ (เด็ดกลีบใส่ลงไป)
5.น้ำอุ่น ตามเหมาะสม

น้ำสมุนไพรแช่ตัว ดีต่อสุขภาพผิวของเรา แต่ถ้ารู้สึกว่ายุ่งยากต้องเตรียมส่วนผสมมากมาย ต้องปั่น ต้องต้มสมุนไพร  ชีวิตคุณจะไม่ยุ่งยากอีกแล้ว ถ้าคุณใช้สบู่สมุนไพรลดฝ้าหน้าเด้ง และสบู่สมุนไพรลดสิว

ครูขอแนะนำสบู่สมุนไพร 2 สูตรนี้นะจ๊ะ ช่วยบำรุงผิวพรรณคุณได้เหมือนคุณนอนแช่สมุนไพรในอ่างน้ำเช่นกัน

สบู่รังไหม น้ำผึ้ง สูตรลดฝ้าหน้าเด้ง ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวขาว กระจ่างใส ผิวเรียบเนียน และนุ่มนวล ผิวขาวอย่างเป็นธรรมชาติ มีส่วนผสมของ ขมิ้น ว่านนางคำ ไพลสด น้ำผึ้ง รังไหมฯลฯ  เมื่อใช้แล้วกลิ่นหอมติดตัวตลอดทั้งวัน

สบู่รังไหม น้ำผึ้ง สูตรเปลือกมังคุดลดสิว ช่วยลดสิวอักเสบ สิวผด สิววัยรุ่น ลดความมันบนใบหน้า ลดรอยดำที่เกิดจากสิวทำให้ผิวขาวกระจ่างใส และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับวัยรุ่น วัยว้าวุ่น วัยทำงานที่เป็นสิวขึ้นอยู่เป็นประจำมีส่วนผสมของเปลือกมังคุด ใบบัวบก ขมิ้น ฯลฯ ใช้แล้วสิวยุบจนคนรู้สึกว่าไม่เคยเป็นสิวมาก่อนเลย....การันตีจากคนเคยเป็นสิว




📌สอนปั้นแบรนด์ออนไลน์ สอนทำสบู่ เรียนทำสบู่ ครูดานิ
📌#Line ld : @127wsjci