วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

10 สูตรสมุนไพร “รักษาฝ้า” ปลอดภัย ได้ผลชัวร์


เชื่อเลยว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือคุณผู้ชายหลายๆคน จะต้องพบเจอกับปัญหาในเรื่องของผิวพรรณ หลายคนอาจจะทำงานตากแดด หลายคนอาจจะอยู่ในร่ม แต่ก็อาจจะเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และแน่นอนว่าในวันนี้เรามีเรื่องดีๆมาฝากเพื่อนๆกัน รับรองเลยว่า ฝ้ากระจุดด่างดำของเพื่อนๆ จะต้องหายไปจากใบหน้าอย่างแน่นอน



1.มะนาว

คั้นเอาน้ำมะนาวออกมา นำน้ำมะนาวไปทาบริเวณที่เป็นฝ้า โดยถูเบาๆ ให้ทั่วประมาณ 1-2 นาที ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นใช้น้ำอุ่นล้างออก ทำประมาณวันละ 2 รอบ จะเห็นผลประมาณภายใน 3 สัปดาห์



2.น้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์

กรดน้ำส้มที่พบในน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็นสารฟอกผิวที่มีประสิทธิภาพมาก โดยกรดน้ำส้มนี้จะสามารถช่วยลบรอยฝ้า รอยด่างดำ และทำให้ผิวนุ่นนวยและกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น ขั้นตอนการรักษาฝ้าด้วยน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ มีดังนี้

นำน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์และน้ำเปล่ามาผสมกันในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน น้ำส่วนผสมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า จากนั้นทิ้งไว้ให้แห้งเองโดยธรรมชาติ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น เช็ดผิวให้แห้ง ควรทำอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง



3.ขมิ้น

ขมิ้นสามารถช่วยลดสารเมลานินบนผิวหนังได้ อีกทั้งยังช่วยกำจัดฝ้าให้จางลงได้อีกด้วย เคอคูมินเป็นส่วนประกอบหลักในขมิ้น มีคุณสมบัติพิเศษทำให้ผิวเรากระจ่างใสขึ้น และยังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย สูตรขมิ้นรักษาฝ้า สามารถทำได้ดังนี้ คือ

ผสมผงขมิ้นปริมาณ 5 ช้อนโต๊ะ กับนมปริมาณ 10 ช้อนโต๊ะ แนะนำว่าควรเป็นนมชนิดที่ยังไม่ได้แยกไขมันออก เพราะนมประเภทนี้จะยังมีกรดแลคติคและแคลเซี่ยมอยู่ เป็นตัวช่วยให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวและทำให้ผิวนุ่มขึ้น ผสมแป้งถั่วลูกไก่ลงไปเพื่อให้ส่วนผสมมันข้น นำส่วนผสมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นใช้น้ำอุ่นล้างออก แล้วเซ็ดให้แห้ง เพื่อให้เห็นผลอย่างรวดเร็ว ควรทำสูตรนี้วันละครั้ง




4.น้ำหัวหอมใหญ่

สูตรรักษาฝ้าด้วยน้ำหัวหอมใหญ่เป็นอีกสูตรนึงที่มีประสิทธิภาพในการปรับสภาพผิวให้กลับมาเป็นปกติ ในหัวหอมใหญ่จะมีส่วนผสมของกำมะถันทำให้น้ำหัวหอมใหญ่สามารถแก้ฝ้าหรือทำให้ฝ้าจางลงได้ นอกจากนั้น น้ำหัวหอมใหญ่ยังช่วยบำรุงเซลล์ผิวอีกด้วย ขั้นตอนการทำน้ำหัวหอมใหญ่รักษาฝ้า มีดังนี้

นำหอมหัวใหญ่ 2-3 หัว มาสับให้ละเอียด นำผ้าขาวบางมาห่อ จากนั้นก็บีบเอาน้ำหัวหอมใหญ่ออกมา นำน้ำหัวหอมใหญ่ที่ได้มาผสมกับน้ำส้มแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ในอัตราส่วนที่เท่ากัน ใช้สำลีก้อนชุบส่วนผสมที่ได้ จากนั้นนำไปทาบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำประมาณวันละ 2 รอบ จะเห็นผลภายในไม่กี่สัปดาห์



5.ว่านหางจระเข้

เชื่อหรือไม่ว่าเมือกเหนียวๆ ในเนื้อว่านหางจระเข้มีสรรพคุณสามารถช่วยทำให้ฝ้าจางลงได้ ทำให้สีผิวกลับไปเป็นสีปกติ นอกจากนี้ว่านหางจระเข้ยังช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสียไปแล้วออกจากผิวหนังและช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ วิธีรักษาฝ้าด้วยว่านหางจระเข้ ทำได้ดังนี้ คือ

ตัดว่านหางจระเข้มา จากนั้นคว้านเอาเฉพาะเนื้อใสๆ ด้านใน ทน้ำเนื้อว่านหางจระเข้ที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า นวดเบาๆ ประมาณ 1-2 นาที ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นใช้น้ำอุ่นล้างออกให้สะอาด ควรทำวันละ 2 ครั้ง จะเห็นผลภายในไม่กี่สัปดาห์


6.ข้าวโอ๊ต (Oatmeal)

ข้าวโอ๊ตเป็นวัตถุดิบธรรมชาติที่ช่วยทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิว โดยเฉพาะการทำให้จุดด่าง ดำบนใบหน้าลบเลือนลง และข้าวโอ๊ตยังช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสียไปแล้ว ทำให้ผิวของคุณดูสว่างใสมากยิ่งขึ้น สูตรข้าวโอ๊ตรักษาฝ้า ทำได้ดังนี้ คือ

นำข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ นมสด 2 ช้อนโต๊ะ และ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน นำไปทาบริเวณที่เป็นฝ้า หรือมีรอยจุดด่าง ดำ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง ควรทำสูตรนี้ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำต่อเนื่องประมาณ 1 เดือนจะเริ่มเห็นผล




7.อัลมอนด์

ปกติแล้วในอัลมอนด์จะมีโปรตีนในปริมาณสูง หากรับประทานเป็นประจำจะทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น นอกจากนั้นยังมีวิตามิน อี ช่วยบำรุงผิวและลบรอยหมองคล้ำบนผิวของเราได้ สูตรอัลมอนด์รักษาฝ้า ทำง่ายๆ ดังนี้

ผสมผงอัลมอนด์กับน้ำผึ้งในปริมาณที่พอเหมาะ นำส่วนผสมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ควรทำอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์จนกว่าจะเห็นผล

อีกทางเลือกนึง นำอัลมอนด์แช่ลงไปในน้ำนมให้ชุ่ม จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด เติมน้ำผึ้งลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วผสมให้เข้ากัน นำส่วนผสมครีมแก้ฝ้าที่ได้ไปทาบริเวณที่เกิดฝ้า แนะนำให้ทำก่อนนอนแล้วทิ้งไว้จนถึงตอนเช้า พอตื่นขึ้นมาก็ล้างออกด้วยน้ำเย็น แนะนะว่าควรทำทุกวันๆละ 1 ครั้ง ประมาณ 2 อาทิตย์จะเริ่มเห็นผล




8.ฮอร์สแรดิช (Horseradish)

หัวฮอร์สแรดิชสามารถนำมาใช้ในการรักษาฝ้าได้ ซึ่งวิธีนี้มีการใช้มานานแล้ว บ้านเราค่อนข้างหายากหน่อย ฮอร์สแรดิชจะมีคุณสมบัติช่วยกำจัดเซลล์ผิวเพื่อให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ลดรอยหมองคล้ำของผิวหนัง รวมถึงรักษาฝ้า หรือทำให้ฝ้าจางลงได้ วิธีใช้ฮอร์สแรดิชรักษาฝ้า ทำได้ดังนี้

หั่นหัวฮอร์สแรดิชเป็นแว่นๆ จากนั้นก็นำไปถูบริเวณที่มีรอยฝ้า ให้น้ำที่ซึมออกมาจากหัวฮอร์สแรดิชซึมเข้าไปในผิวหนัง ปล่อยไว้ให้แห้งเอง หลังจากที่แห้งแล้วให้ใช้น้ำอุ่นล้างหน้าสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง ควรทำอาทิตย์ละครั้งจนกว่ารอยดำจากฝ้าจะจางหายไป ผสมผงฮอร์สแรดิช 2 ช้อนโต๊ะกับครีมเปรี้ยวปริมาณ 1 ถ้วย ให้เข้ากัน จากนั้นนำไปทาบริเวณที่เป็นฝ้า หรือรอบหมองคล้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ควรทำอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ทำต่อเนื่องจนกว่าจะเห็นผล



9.มะละกอ

แปปเพ็น เป็นเอนไซม์ชนิดนึงที่พบในมะละกอ เอนไซม์ตัวนี้มีฤทธิ์ในการช่วยให้ผิวหนังผลัดเซลล์ผิวได้ดี โดยช่วยเร่งการกำจัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอกที่เสียหรือเสื่อมโทรม ขั้นตอนการใช้มะละกอรักษาฝ้า ทำได้ตามนี้

นำมะละกอสุกมาบดให้เละ ผสมน้ำผึ้งสองช้อนโต๊ะต่อมะละกอสุกบดหนึ่งถ้วยครึ่ง นำส่วนผสมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ควรทำตามสูตรนี้อาทิตย์ละครั้ง ต่อเนื่องกันหลายเดือนถึงจะเห็นผลที่ชัดเจน





10.ไม้จันทน์

ไม้จันทน์เป็นวัตถุดิบอีกตัวนึงที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวดูสว่าง ใส ขึ้น นอกจากนั้นไม้จันทน์ยังช่วยให้สภาพผิวดีขึ้นและลดการเกิดฝ้า รอยด่างดำ ต่างๆที่อาจจะเกิดกับผิวได้ มาดูวิธีใช้ไม้จันทน์รักษาฝ้า กันได้เลย

นำผงไม้จันทน์ ผงขมิ้น และนมมาในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากนั้นผสมให้เข้ากันจนได้ส่วนผสมที่เหนียวๆ นำส่วนผสมที่ได้จากการเตรียมข้อ 1 มาทาให้ทั่วบริเวณที่เกิดฝ้า แล้วทิ้งไว้จนกว่าส่วนผสมทั้งหมดจะแห้งไปเอง หลังจากที่ส่วนผสมทั้งหมดแห้งแล้ว ให้ใช้น้ำสะอาดลูบบริเวณที่ทาส่วนผสมลงไปให้พอเปียกๆ จากนั้นก็ถูเป็นวงกลมรอบๆ บริเวณที่เป็นฝ้า สุดท้าย ล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง ควรทำตามสูตรนี้ประมาณอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ทำต่อเนื่องจนกว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน

ควบคู่ไปกับการใช้สมุนไพรรักษาฝ้า เราควรที่จะหลีกเลี่ยงแสงแดด อย่าโดนแดดแรงๆ เป็นเวลานานๆ และอย่าลืม หากต้องออกไปสถานที่ที่ต้องโดนแสงแดดเป็นประจำ เราควรทาโลชั่นป้องกันแสงแดดเอาไว้ด้วยเพื่อไม่ให้ผิวของเราโดนรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ทำร้าย ควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ดื่มน้ำในประมาณที่มากเพียงพอเพื่อกำจัดท็อกซินและป้องกันไม่ให้เกิดฝ้า จำไว้ว่าการป้องกันคือวิธีรักษาฝ้าที่ดีที่สุด

ขอขอบคุณ : nomoremelasma

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

สบู่น้ำมันมะกอก...ใช้แล้วดีอย่างไร




        น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันที่มีความนิยมและมีประโยชน์หลากหลายทั้งต่อผิวหนัง ผม และยังมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย 
          ทุกคนรู้ประโยชน์และมีการนำมาใช้ตั้งแต่ในสมัยโบราณมาแล้วและเป็นที่นิยมมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน 
          
         น้ำมันมะกอก ยังเป็นส่วนประกอบหลักในผลิตถนอมผิวหลากหลายประเภททั้งแบรนด์ใหญ่ระดับโลก  หรือแบรนด์ท้องถิ่นล้วนมีการผสมน้ำมันมะกอก อันเนื่องมาจากประสิทธิภาพของน้ำมันมะกอก





         การใช้น้ำมันมะกอก สำหรับการถนอมผิวมีมานานตั้งแต่สมัยอิยิปต์แล้ว มีหลักฐานเชื่อได้ว่าชาวอิยิปต์ได้ใช้น้ำมันมะกอกกับขี้ผึ้งในการทำความสะอาดผิว ใช้ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น และใช้เป็นสารต่อต้านแบคทีเรียได้ด้วย



    ความรู้สึก เมื่อคุณใช้  สบู่น้ำมันมะกอก  
คุณจะสัมผัสถึง

1. ความหอมของน้ำมันมะกอก หอมหวาน ๆ หอมอ่อน ๆ หอมแบบเดินผ่านสบู่น้ำมันมะกอกก้อนนี้ คุณจะต้องเผลอตัวหยิบขึ้นมาดมทุกครั้ง

2. เมื่อคุณได้ใช้สบู่น้ำมันมะกอกในครั้งแรก คุณจะรู้สึกว่าผิวเนียนขึ้น ผิวนุ่มขึ้น  (คุณจะหลงรักสบู่น้ำมันมะกอก)

3. ผิวคุณจะขาวกระจ่างใสขึ้น จนคนข้าง ๆ ทักอย่างแปลกใจ  "ใช้อะไรมา หน้าขาวใสจัง" ทั้งๆ ที่เห็นหน้ากันทุกวัน  

4.ใช้แล้ว สิวยุบ ริ้วรอยลดลง รู้สึกผิวตึงยกกระชับขึ้น

5.ผิวนุ่มขึ้น จนต้องลูบหน้า ลูบมือ ตัวเองตลอดเวลา



  สรรพคุณน้ำมันมะกอกเมื่อเอามาทำสบู่       

1) ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น 
     ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องทาครีมเพื่อให้ความชุ่มชื้นต่อผิวทุกวัน ครีม Moisturizer กระปุกหนึ่งราคา 300-400 บาทแถมด้วยสารสังเคราะห์อะไรไม่รู้เยอะแยะ  

    ครูดานิ แนะนำว่าใช้ Moisturizer แบบธรรมชาติไร้สารสังเคราะห์ นั่นคือ สบู่น้ำมันมะกอก 



    สบู่น้ำมันมะกอก อุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด สายลม ซึ่งทำร้ายผิวของเรา เนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม บางเบา ของน้ำมันมะกอก ไม่ทำให้เหนียวเหนอะหนะ และช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นได้นาน และเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว


2) ช่วยปรับสภาพผิว
     เมื่อเราพูดถึงความงาม การมีผิวที่เปล่งปลั่ง เป็นประกาย ออร่า ย่อมเป็นเรื่องที่ปราศนาของหญิงสาวทุกคน 
    ในปัจจุบันแม้แต่ผู้ชายเองก็ตามยังต้องการผิวใสเปล่งประกาย เมื่อเราต้องการผิวใสเปล่งประกายเรามักจะนึกถึง การทำให้ผิวมีประกาย ออร่า 
    ทุกๆคนล้วนอยากได้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ สบู่น้ำมันมะกอก สูตรนี้ ช่วยให้คุณมีผิวใสเปล่งประกาย มีออร่า 




    สบู่น้ำมันมะกอก อุดมไปด้วยวิตามินอี ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี รักษาผิวหนังจากสิวอักเสบ ปกป้องผิวหนังจากโรคร้าย เช่นโรคสะเก็ดเงิน และโรคมะเร็งผิวหนัง 


3.บำรุงเส้นผม 
    สบู่น้ำมันมะกอกมีปริมาณของวิตามินอี   และวิตามินบี จึงช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเส้นผมและผิวหนังทดแทนน้ำมันตามธรรมชาติของบนเส้นผมและผิวหนังได้ ป้องกันเส้นผมเปราะ ขาด ป้องกันผิวหนังแห้งแตกลายได้

4. ผิวกระจ่างใส 
    สบู่น้ำมันมะกอก ใช้เป็นประจำทุกวัน ผิวจะขาวกระจ่างใสขึ้น ชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์



#ครูดานิ Soap ExPert
#เรียนทำสบู่ง่ายๆ สบายๆ ได้ที่บ้าน
#เบอร์โทรติดต่อ: 0625945642, 0614696546
#Line ld : @127wsjci
##YouTube : dani dani soap
Facebook : สอนทำสบู่ เรียนทำสบู่ สอนออนไลน์ ครูดานิ


สุขภาพดี ได้ด้วยน้ำมันมะกอก




#ประโยชน์จากน้ำมันมะกอกที่คุณอาจไม่เคยรู้
       ยุคนี้ ทุกคนหันมาสนใจ สุขภาพ กันมากขึ้น คงจะรู้จัก และเริ่มรับประทาน น้ำมันมะกอก กันมาได้สักพักแล้ว เพราะน้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยไขมันที่ดีต่อร่างกาย หากทานในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


นอกจากทานได้แล้ว น้ำมันมะกอกยังช่วยด้านอื่นด้วยจ้า มาดูกันเลย

แก้อาการท้องผูก

>น้ำมันมะกอกสามารถช่วยลดอาการท้องผูกได้ ทั้งจากการรับประทานตามปกติสำหรับผู้ใหญ่ และลูบไล้บริเวณท้องสำหรับเด็ก 
>สามารถนำมาประกอบอาหารเพื่อช่วยเป็นยาระบายอาการท้องผูกให้แก่เด็กได้ 
>หรืออีกหนึ่งวิธี คือ การน้ำมันมะกอกอุ่นๆ มาลูบไล้เบาๆ เป็นเข็มนาฬิกาบริเวณหน้าท้องของลูกๆ

ลดอาการไอ

>น้ำมันมะกอกช่วยบรรเทาอาการไอได้เป็นอย่างดี เพียงผสมน้ำมันมะกอกประมาณ 3-4 ช้อนชา 
เข้ากับโรสแมรี่ ยูคาลิปตัส และน้ำมันสะระแหน่ ประมาณ 2-3 หยด แล้วลูบไล้บริเวณหน้าอก และหลังก่อนเข้านอน เพียงเท่านี้ก็สามารถบรรเทาอาการไอ และช่วยให้หลับสบายได้ง่ายขึ้น


ควบคุมคอเลสเตอรอล 

>นี่เป็นคุณสมบัติเด่นของน้ำมันมะกอกที่ทำให้คนหันมารับประทานกันมาก 
>เพราะในน้ำมันมะกอกมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งมีส่วนของกรดโอเลอิก ( Oleic Oil ) อยู่ในปริมาณที่สูงมาก 
>ซึ่งกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยวนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่เพิ่มปริมาณคอเรสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) 
>และสามารถช่วยลดคลอเรสเตอรอสชนิดไม่ดี (LDL)  ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคความดันโลหิตสูง

ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็ง 

>น้ำมันมะกอกมีส่วนประกอบของสารอัลฟาโตโคฟีรอล ( Alpha-Tocopheral ) ในรูปของวิตามินอี 
>สารไลโคปี (Lycopene) และสารกลุ่มโพลีฟีนอลที่จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด
>ช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระที่เข้าสู่ร่างกาย 
>โดยสารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปจับตัวกับอนุมูลอิสระทำให้ อนุมูลอิสระไม่สามารถทำลายเซลล์ที่อยู่ใกล้เคียงได้ 
>จึงช่วยลดความเสี่ยงที่เซลล์จะเกิดการกลายพันธุ์และเจริญเติบโตเป็นเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปีกมดลูกและมะเร็งลำไส้ใหญ่

ลดความเสื่อมของสมอง 
>น้ำมันมะกอกช่วยเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันไม่ให้ผนังหลอดเลือดโดนทำลาย 
>ลดการอุดตันของเส้นเลือด จึงทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีโดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองและหัวใจ
>ซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย เมื่อเลือดไหลเวียนดีออกซิเจนก็จะเข้าสู่เซลล์สมองและหัวใจส่งผลให้เซลล์ตามอวัยวะต่างๆ แข็งแรงขึ้น 
>ลดความเสื่อมของเซลล์สมอง ป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อม เป็นต้น

 เพิ่มการดูดซึมอาหาร 
>น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว 
>เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ววิตามินหรือสารอาหารที่ละลายได้ในน้ำมันก็จะละลายเข้าไปอยู่ในน้ำมันมะกอก 
>ดังนั้นน้ำมันมะกอกก็จะพาสารอาหารและแร่ธาตุเข้าสู่ร่างกายไปด้วย ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินที่ละลายในน้ำมันมากขึ้น เช่น วิตามินดี  วิตามินเค วิตามินเอ เป็นต้น

 เพิ่มการเผาผลาญ 
>น้ำมันมะกอกจะเข้าไปกระตุ้นกระบวนการเมตาบอลิซึม ( Metabolic Function ) ให้สามารถทำงานได้อย่างทรงประสิทธิภาพ 
>ทำให้สามารถสบายไขมันออกจากร่างกายได้เพิ่มขึ้น ลดการสะสมของไขมันในร่างกาย
>ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ป้องกันการเกิดนิ่ว 
>น้ำมันมะกอกช่วยป้องกันการก่อตัวและการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี 
>โดยน้ำมันมะกอกจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดีให้สามารถไหลหมุนเวียนได้ดีขึ้น 
>ลดการสะสมหรือการตกตะกอนก่อตัวเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และยังช่วยยับยั้งการหลั่งของน้ำดีที่ผลิตจากตับ จึงช่วยลดการสะสมของน้ำดีในถุงน้ำดี

ลดการอักเสบของแผลในระบบทางเดินอาหาร 
>น้ำมันมะกอกจะช่วยเคลือบบริเวณที่เกิดแผลในระบบทางเดินอาหาร ทั้งในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ 
>ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำย่อยหรือกรดในกระเพาะอาหารเข้ามาทำปฏิกิริยากับแผลจนเกิดการอักเสบซ้ำซ้อน และช่วยบรรเทาอาการอักเสบด้วย
บำรุงเส้นผม 
>น้ำมันมะกอกมีปริมาณของวิตามินอีและวิตามินบี จึงช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง 
>มีโมเลกุลของน้ำมันมะกอกมีความคล้ายคลึงกับน้ำมันตามธรรมชาติซึ่งมีขนาดที่เล็กทำให้ซึมซาบเข้าสู่เส้นผมและผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว 
>น้ำมันมะกอกจึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเส้นผมและผิวหนังทดแทนน้ำมันตามธรรมชาติของบนเส้นผมและผิวหนังได้ 
>ป้องกันเส้นผมเปราะ ขาด ป้องกันผิวหนังแห้งแตกลายได้
บำรุงหัวใจ 
>น้ำมันมะกอกมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวอยู่มาก 
>ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล ( LDL ) ได้ ควบคุมระดับ ( LDL ) ให้ต่ำลง 
>ช่วยให้ไขมันในเลือดลดลง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดหัวใจรั่ว เป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย 
>ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว ( Atrial Fibrillation ) และทำให้หัวใจทำงานได้อย่างแข็งแรงยิ่งขึ้น

รู้กันยังคะว่าน้ำมันมะกอกมีกี่ประเภท



มารู้จักน้ำมันมะกอกกันคะ

        น้ำมันมะกอก    มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า 

Olea europaea อยู่ในวงศ์ Oleaceae 
เป็นพืชพื้นถิ่นแถบเมอร์ดิเตอร์เรเนียน 
น้ำมันมะกอกผลิตด้วยการสกัดจากผลมะกอก 
มีการนำมาใช้ประโยชน์หลากหลายจากในครัว
ไปจนถึงเครื่องสำอางแบรนด์ชั้นนำระดับโลก


       น้ำมันมะกอก ในท้องตลาดมีหลากหลายชนิดเราจะเลือกใช้อย่างไร ชนิดไหนเหมาะสำหรับทำอะไร? ซึ่งในเชิงการค้าแล้วสามารถแบ่งน้ำมันมะกอกได้ 4 ชนิดดังนี้




ประเภทของน้ำมันมะกอก

1. น้ำมันมะกอกที่มีความบริสุทธิ์สูง หรือ 
Extra Virgin Olive Oil 
คือ น้ำมันมะกอกที่ผ่านการสกัดด้วยวิธีบีบ (Expelling) หรือการบีบเย็น (Cold Press)  

>เป็นชนิดที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายสูงสุด แต่ก็เป็นน้ำมันมะกอกชนิดที่แพงที่สุด


>สกัดด้วยวิธีการบีบเย็น (Cold Press) จะไม่ใช้ความร้อนในการสกัดน้ำมันมะกอก  ทำให้ได้น้ำมันมะกอกที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงของคุณค่าทางโภชนาการน้อยมาก 

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้จึงมีรสและกลิ่นของผลมะกอกเหมือนกับผลมะกอกจริง 

>คุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารเหมือนผลมะกอกเกือบ 100% 

>เพราะว่าการสกัดด้วยวิธีบีบเย็นนี้ไม่ใช่ความร้อนในการสกัดสารอาหารในผลมะกอกจึงไม่โดนทำลายจากความร้อน 

>มีค่าความเป็นกรดน้อยมากคือ มีค่าความเป็นกรดต่ำกว่า 1% มีสีเขียวเข้ม 

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้เป็นน้ำมันมะกอกชนิดที่ดีที่สุด น้ำมันมะกอกชนิดนี้มีจุด Smoke Point ที่ 100 องศาเซลเซียส 

>ไม่เหมาะกับการนำมาปรุงอาหารประเภททอดหรือผัดด้วยความร้อนสูง เพราะที่ความร้อนสูงน้ำมันมะกอกชนิดนี้จะกลายเป็นอนุมูลอิสระ ที่เรียกว่า 
อะคลีเอมีน ( Acrylamine ) ที่เป็นสารก่อมะเร็งอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงควรนำไปปรุงอาหารที่ไม่ใช้ความร้อน เช่น ทำน้ำสลัด ราดบนเนื้อสัตว์ เป็นต้น



2.น้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์ ( Virgin Olive Oil )

 >น้ำมันมะกอกที่สกัดด้วยใช้ความร้อนทำให้สารอาหารบางชนิดโดนทำลายไปบ้างเล็กน้อย 

>มีค่าความเป็นกรดต่ำไม่เกิน 1.5% จึงมึคุณภาพน้อยกว่าน้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์พิเศษ 

>สกัดโดยใช้ความร้อนอาจจะทำให้กลิ่นและรสของน้ำมันมะกอกที่ได้เปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติ

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้ไม่เหมาะกับการนำไปปรุงอาหารที่ต้องผ่านความร้อน เช่นเดียวกับน้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธิ์พิเศษ

>เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่ได้รับความนิยมมากและนำมาใช้หลากหลายประโยชน์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้น้ำมันมะกอกที่มีราคาไม่แพง
3.น้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์ดี ( Fine Olive Oil ) >น้ำมันมะกอกที่สกัดในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนมาก 

>กรรมวิธีในการผลิตจะใช้ทั้งสารเคมีและความร้อนในการสกัดน้ำมันออกมาจากผลมะกอก 
>มีการขจัดสีและกลิ่นของมะกอกออกไปจากน้ำมันด้วย ทำให้น้ำมันที่ได้ไม่มีสี กลิ่นและรสของมะกอกหลงเหลืออยู่ 

>มีค่าความเป็นกรดต่ำอยู่ที่ 1.5-3 % 

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้เหมาะกับการทำอาหารที่ผ่านความร้อนน้อยหรือผ่านในระยะเวลาสั้นๆ เช่น การผัด การทำซอสที่ใช้ความร้อนนิดหน่อย เป็นต้น ไม่เหมาะกับการนำไปทอดเป็นเวลานาน



4.น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ( Pure Olive Oil ) คือ >น้ำมันมะกอกที่นิยมนำมาปรุงอาหารรับประทานกัน ทั้งอาหารที่ต้องผ่านความร้อน อย่างผัด ทอด และอาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อนอย่างการทำน้ำสลัด 

>มีค่าความเป็นกรดประมาณ 3-4 % ซึ่งถือว่ายังสามารถบริโภคได้ 
>มีกลิ่นมะกอกจะอ่อนมาก น้ำมันมะกอกชนิดนี้จะมีราคาถูกที่สุด 
>เหมาะกับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูงหรือต้องผ่านความร้อนเป็นเวลานานโดยเฉพาะการทอดจะดีมาก 
>มีจุด Smoke Point ที่ 200 องศาเซลเซียส แต่ไม่เหมาะกับการนำมาทำอาหารเพื่อรับประทานโดยตรง เช่น การกินกับสลัด การผสมซอส เป็นต้น



5. น้ำมันกากมะกอก คือ 
>น้ำมันที่สกัดจากกากของมะกอกที่เหลือจากการสกัดน้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์พิเศษหรือน้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์ดีไปแล้ว 

>นำกากมะกอกที่เหลือมาผ่านกรรมวิธีทางเคมีและความร้อนเพื่อให้ได้น้ำมันออกมา 

>ซึ่งน้ำมันชนิดนี้จะมีคุณภาพต่ำมาก มีปริมาณไขมันชนิดที่ไม่ดีสูงกว่าน้ำมันมะกอกทุกชนิด 

>สามารถนำมาใช้ในการปรุงอาหารที่ต้องอาศัยความร้อนสูงได้เช่นกัน แต่ไม่ควรนำมารับประทานโดยตรง

ครูดานิ




น้ำมันมะกอก คืออะไร ?




น้ำมันมะกอก คืออะไร ?
      น้ำมันมะกอก ( Olive Oil ) คือ น้ำมันธรรมชาติที่เกิดจากการนำเอา ผลแก่ของต้นมะกอกโอลิฟมาสกัดเอาน้ำมัน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของน้ำมันพืช 
      ลักษณะของน้ำมันมะกอก  จะมีสีเขียวใส 
สีเหลืองใส หรือใสไม่มีสี ขึ้นอยู่กับวิธีการที่นำมาผลิตน้ำมันมะกอก 

      สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ  นิยมนำน้ำมันมะกอกมาใช้ในการประกอบอาหาร 

    ผลการวิจัย ทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์บ่งบอกว่าน้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ 
เมื่อรับประทานเข้าไปจะไม่ก่อโทษในร่างกาย 
สามารถนำน้ำมันมะกอกมาใช้ปรุงอาหารรับประทานได้ทุกประเภท 



    น้ำมันมะกอกยังเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสบู่ พลาสเตอร์ วัสดุอุดฟัน น้ำมันสำหรับนวด
    เพราะว่าน้ำมันมะกอกนั้นซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและไม่ทิ้งความมันบนผิว จึงนิยมนำไปเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์ ครีมบำรุงผิว ครีมแต้มสิวและครีมบำรุงผิวหน้าอีกด้วย 

  น้ำมันมะกอกมีสรรพคุณ และประโยชน์อย่างไรบ้างสามารถเอามาทำอะไรได้บ้าง ติดตามในบทความต่อไปคะ

ครูดานิ

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

9 สมุนไพรสยบ!ฝ้าพร้อมสุตรการทำ กระ สิว! รอยดำฝ้า กระ จุดด่างดำ ค่อยๆ จางลง

9 สมุนไพรสยบ!ฝ้า กระ สิว!

ประโยชน์ของพืชผักสมุนไพรไทย นับว่ามีคุณค่าหรือ
สรรพคุณทางยามากมายมหาศาล เพราะนอกจากนำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว ใครจะคิดว่าจะสามารถสยบฝ้า กระ สิว ปัญหาโลกแตกของหนุ่มสาวทุกยุคสมัยลงได้



1.ว่านหางจระเข้ 
มีสรรพคุณ ช่วยลดน้ำหนัก ต้านการอักเสบของผิว ลดอาการ
แสบร้อนจากแสงแดด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส ชุ่มชื่น ขจัดสิว และมีส่วนช่วยลดการเกิดเม็ดสีผิวเมลานิน จึงลบรอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิวได้ดี

นำวุ้นว่านหางจระเข้ปั่น 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ล้างหน้าให้สะอาด พอกหน้า 20 นาที ล้างหน้าให้สะอาดทำสูตรนี้ทุกวัน เช้า-เย็น จะสังเกตุได้เลยว่ารอยดำฝ้า กระ จุดด่างดำ ค่อยๆจางลง












2.หัวไชเท้า
มีส่วนประกอบของสารไกลโคไซ ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วย
ในเรื่อง ลดรอยดำอย่างฝ้า กระ จุดด่างดำได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบจากสิว ทำให้สิวยุบ 
และแห้งตัวไวขึ้น พร้อมกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยชำระล้าง
ไขมันภายในรูขุมขน ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย 
ให้ผิวหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ผิวหน้าแข็งแรงขึ้น

       นำน้ำหัวไชเท้าแช่เย็น 3 ช้อนโต๊ะ + ดินสองพอง 1 เม็ด
 + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมเป็นเนื้อครีม พอกหน้า 15-20 นาที
ล้างออกให้สะอาด
       หัวไชเท้าสดมีฤทธิ์แสบร้อน หากนำหัวไชเท้ามาพอกสดๆ
อาจไม่เหมาะกับผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่ายแน่นอน แต่สำหรับใคร
ที่ใช้ได้ก็จะเห็นผลชัดเจนเลยว่ารอยฝ้าจางลงได้จริง



3.ใบบัวบก
สรรพคุณ มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ให้แข็งแรงขึ้น
พร้อมทั้งช่วยในเรื่องระบบไหลเวียนเลือด จึงช่วยฟื้นฟูเซลล์
ผิวเสื่อมสภาพ ทำให้ปัญหาผิวหมองคล้ำที่เป็นรอยฝ้า กระ
จุดด่างต่างๆลดเลือนลง

       นำใบบัวบก 1 กำมือ + น้ำอุ่นหรือน้ำสะอาด 1 ถ้วย ปั่นให้
เข้ากัน กรองน้ำ ใช้สำลีเช็ดหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 15-20 นาที หรือ
พอกจนแห้ง ล้างออกให้สะอาด
       ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือทำทุกวันที่ต้องการ เท่านี้ก็จะ
ช่วยลดรอยฝ้าได้ดี



4.มะละกอ
สรรพคุณ มีเอนไซม์ปาเปน แคโรทีน วิตามิน
ซี ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์
ผิวได้ดี โดยเฉพาะรอยดำจากสิว รอยฝ้า รอยกระ สามารถลด
เลือนลงได้ แถมยังช่วยให้ผิวหน้านุ่มนิ่ม น่าสัมผัส นอกจาก
นี้ยังสามารถช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสมานแผลไฟ
ไหม้น้ำร้อนลวกได้

        นำมะละกอสุกบด 1/3 ลูก + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา + น้ำมะ
นาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด นำมาพอก
หน้า 20 นาที ล้างออกให้สะอาด
         ควรทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทำต่อเนื่องกันหลายเดือน
เพื่อเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่าง



5.มะนาว
สรรพคุณ มีกรดซิดตริก ที่เหมือนสารฟอกสีผิวให้กระจ่างใส
มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีกรด AHA และ วิตามินซี ที่ช่วยผลัด
เซลล์ผิวเก่า ลดลอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิว พร้อม
ช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ ให้ขาวใสมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วย
ลดความมัน ลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขนได้ดี

        ใช้น้ำมะนาว 2 ลูก + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน 
ล้างหน้าให้สะอาด พอกหน้า 15-20 นาที ล้างออกให้สะอาด 
        ช่วงเช้า-บ่าย ไม่ควรออกแดดทันทีเมื่อพอกหน้าด้วย
มะนาว เพราะมะนาวมีกรด AHA ทำให้ไวต่อแสงแดดได้
ทางที่ดีควรพอกหน้าช่วงเวลาตอนเย็น หรือก่อนจะนอน



6.หอมแดง
สรรพคุณ มีฤทธิ์ช่วยลดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิว เพราะมี
สารกำมะถัน วิตามินซี ที่ช่วยลดรอยดำ ต่อต้านอนุมูลอิสระ
ผลัดเซลล์ผิวหมอง ปรับสิวผิวบริเวณนั้นๆให้กระจ่างใส
พร้อมลดอาการอักเสบจากสิวได้ดี

ให้ฝานหอมแดงบางๆ แปะที่รอยฝ้า 10 นาที ล้างออกให้สะอาด
ด้วยหอมแดงมีกำมะถัน ทำให้แสบตาหรือแสบผิวได้ จึงควร
ฝานแล้วแช่ให้เย็นก่อนใช้ เพื่อลดอาการแสบจากหอมแดง



7.มะขามเปียก
สรรพคุณ มี AHA และวิตามินซี ที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิว
หมองคล้ำ ลดการเกิดรอยดำฝ้า กระ ลดรอยสิว รวมถึงช่วย
ทำความสะอาดสิ่งอุดตันในรูขุมขน ลดความมัน และลดการ
เกิดสิวได้ดี

        มะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เป็น
เนื้อครีม ล้างหน้าให้สะอาด พอกหน้า 15-20 นาที ล้างให้
สะอาด
        ด้วยมะขามเปียก มี AHA จึงไม่เหมาะที่จะออกแดดเลย
ทันที หรือถ้าจำเป็นต้องออกแดด ควรทาครีมบำรุงที่ช่วยให้
ผิวชุ่มชื้น และทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน 15 นาที



8.ใบกระเพรา
สรรพคุณ มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี ที่มีส่วน
ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดรอยดำจากฝ้า กระ
จุดด่างดำจากสิวได้

        ใบกระเพราะแห้งป่น 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำอุ่น 1 ถ้วย ผสม
ให้เข้ากัน แล้วใช้สำลีชุบน้ำทาบริเวณที่เป็นกระ ทิ้งไว้ให้แห้ง
แล้วล้างออกให้สะอาด ควรทำทุกวัน เช้า-เย็น



9.ขมิ้น
สรรพคุณ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น
วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม ธาตุฟอส
ฟอรัส ธาตุเหล็ก เกลือแร่ต่างๆ ที่มีสรรพคุณทางยาที่รักษา
อาการและโรคหลายชนิด โดยเฉพาะรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนัง
อย่าง สิว ฝ้า กระ กราก เกลื้อน และแผลต่างๆ

        ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชา + น้ำมะนาวสด 1 ช้อนชา +
นมสด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกหน้า หรือนวด
จุดที่มีรอยดำ
15 นาทีขึ้นไป หรือทิ้งไว้จนแห้ง ล้างออกด้วยน้ำอุ่น กระชับ
ผิวด้วยน้ำเย็น
        เพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้น ควรทำทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 3 ครั้ง


ที่มาข้อมูลอ่านเพิ่มเติม -  โครงการอนุรักษ์พันธุกรรม
พืชอันเนื่องมาจาก
รพะราชดำริ,โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ,http://www.herbandherthailand.com