วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

สุขภาพดี ได้ด้วยน้ำมันมะกอก




#ประโยชน์จากน้ำมันมะกอกที่คุณอาจไม่เคยรู้
       ยุคนี้ ทุกคนหันมาสนใจ สุขภาพ กันมากขึ้น คงจะรู้จัก และเริ่มรับประทาน น้ำมันมะกอก กันมาได้สักพักแล้ว เพราะน้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยไขมันที่ดีต่อร่างกาย หากทานในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


นอกจากทานได้แล้ว น้ำมันมะกอกยังช่วยด้านอื่นด้วยจ้า มาดูกันเลย

แก้อาการท้องผูก

>น้ำมันมะกอกสามารถช่วยลดอาการท้องผูกได้ ทั้งจากการรับประทานตามปกติสำหรับผู้ใหญ่ และลูบไล้บริเวณท้องสำหรับเด็ก 
>สามารถนำมาประกอบอาหารเพื่อช่วยเป็นยาระบายอาการท้องผูกให้แก่เด็กได้ 
>หรืออีกหนึ่งวิธี คือ การน้ำมันมะกอกอุ่นๆ มาลูบไล้เบาๆ เป็นเข็มนาฬิกาบริเวณหน้าท้องของลูกๆ

ลดอาการไอ

>น้ำมันมะกอกช่วยบรรเทาอาการไอได้เป็นอย่างดี เพียงผสมน้ำมันมะกอกประมาณ 3-4 ช้อนชา 
เข้ากับโรสแมรี่ ยูคาลิปตัส และน้ำมันสะระแหน่ ประมาณ 2-3 หยด แล้วลูบไล้บริเวณหน้าอก และหลังก่อนเข้านอน เพียงเท่านี้ก็สามารถบรรเทาอาการไอ และช่วยให้หลับสบายได้ง่ายขึ้น


ควบคุมคอเลสเตอรอล 

>นี่เป็นคุณสมบัติเด่นของน้ำมันมะกอกที่ทำให้คนหันมารับประทานกันมาก 
>เพราะในน้ำมันมะกอกมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งมีส่วนของกรดโอเลอิก ( Oleic Oil ) อยู่ในปริมาณที่สูงมาก 
>ซึ่งกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยวนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่เพิ่มปริมาณคอเรสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) 
>และสามารถช่วยลดคลอเรสเตอรอสชนิดไม่ดี (LDL)  ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคความดันโลหิตสูง

ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็ง 

>น้ำมันมะกอกมีส่วนประกอบของสารอัลฟาโตโคฟีรอล ( Alpha-Tocopheral ) ในรูปของวิตามินอี 
>สารไลโคปี (Lycopene) และสารกลุ่มโพลีฟีนอลที่จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด
>ช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระที่เข้าสู่ร่างกาย 
>โดยสารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปจับตัวกับอนุมูลอิสระทำให้ อนุมูลอิสระไม่สามารถทำลายเซลล์ที่อยู่ใกล้เคียงได้ 
>จึงช่วยลดความเสี่ยงที่เซลล์จะเกิดการกลายพันธุ์และเจริญเติบโตเป็นเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปีกมดลูกและมะเร็งลำไส้ใหญ่

ลดความเสื่อมของสมอง 
>น้ำมันมะกอกช่วยเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันไม่ให้ผนังหลอดเลือดโดนทำลาย 
>ลดการอุดตันของเส้นเลือด จึงทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีโดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองและหัวใจ
>ซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย เมื่อเลือดไหลเวียนดีออกซิเจนก็จะเข้าสู่เซลล์สมองและหัวใจส่งผลให้เซลล์ตามอวัยวะต่างๆ แข็งแรงขึ้น 
>ลดความเสื่อมของเซลล์สมอง ป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อม เป็นต้น

 เพิ่มการดูดซึมอาหาร 
>น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว 
>เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ววิตามินหรือสารอาหารที่ละลายได้ในน้ำมันก็จะละลายเข้าไปอยู่ในน้ำมันมะกอก 
>ดังนั้นน้ำมันมะกอกก็จะพาสารอาหารและแร่ธาตุเข้าสู่ร่างกายไปด้วย ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินที่ละลายในน้ำมันมากขึ้น เช่น วิตามินดี  วิตามินเค วิตามินเอ เป็นต้น

 เพิ่มการเผาผลาญ 
>น้ำมันมะกอกจะเข้าไปกระตุ้นกระบวนการเมตาบอลิซึม ( Metabolic Function ) ให้สามารถทำงานได้อย่างทรงประสิทธิภาพ 
>ทำให้สามารถสบายไขมันออกจากร่างกายได้เพิ่มขึ้น ลดการสะสมของไขมันในร่างกาย
>ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ป้องกันการเกิดนิ่ว 
>น้ำมันมะกอกช่วยป้องกันการก่อตัวและการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี 
>โดยน้ำมันมะกอกจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดีให้สามารถไหลหมุนเวียนได้ดีขึ้น 
>ลดการสะสมหรือการตกตะกอนก่อตัวเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และยังช่วยยับยั้งการหลั่งของน้ำดีที่ผลิตจากตับ จึงช่วยลดการสะสมของน้ำดีในถุงน้ำดี

ลดการอักเสบของแผลในระบบทางเดินอาหาร 
>น้ำมันมะกอกจะช่วยเคลือบบริเวณที่เกิดแผลในระบบทางเดินอาหาร ทั้งในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ 
>ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำย่อยหรือกรดในกระเพาะอาหารเข้ามาทำปฏิกิริยากับแผลจนเกิดการอักเสบซ้ำซ้อน และช่วยบรรเทาอาการอักเสบด้วย
บำรุงเส้นผม 
>น้ำมันมะกอกมีปริมาณของวิตามินอีและวิตามินบี จึงช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง 
>มีโมเลกุลของน้ำมันมะกอกมีความคล้ายคลึงกับน้ำมันตามธรรมชาติซึ่งมีขนาดที่เล็กทำให้ซึมซาบเข้าสู่เส้นผมและผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว 
>น้ำมันมะกอกจึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเส้นผมและผิวหนังทดแทนน้ำมันตามธรรมชาติของบนเส้นผมและผิวหนังได้ 
>ป้องกันเส้นผมเปราะ ขาด ป้องกันผิวหนังแห้งแตกลายได้
บำรุงหัวใจ 
>น้ำมันมะกอกมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวอยู่มาก 
>ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล ( LDL ) ได้ ควบคุมระดับ ( LDL ) ให้ต่ำลง 
>ช่วยให้ไขมันในเลือดลดลง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดหัวใจรั่ว เป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย 
>ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว ( Atrial Fibrillation ) และทำให้หัวใจทำงานได้อย่างแข็งแรงยิ่งขึ้น

รู้กันยังคะว่าน้ำมันมะกอกมีกี่ประเภท



มารู้จักน้ำมันมะกอกกันคะ

        น้ำมันมะกอก    มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า 

Olea europaea อยู่ในวงศ์ Oleaceae 
เป็นพืชพื้นถิ่นแถบเมอร์ดิเตอร์เรเนียน 
น้ำมันมะกอกผลิตด้วยการสกัดจากผลมะกอก 
มีการนำมาใช้ประโยชน์หลากหลายจากในครัว
ไปจนถึงเครื่องสำอางแบรนด์ชั้นนำระดับโลก


       น้ำมันมะกอก ในท้องตลาดมีหลากหลายชนิดเราจะเลือกใช้อย่างไร ชนิดไหนเหมาะสำหรับทำอะไร? ซึ่งในเชิงการค้าแล้วสามารถแบ่งน้ำมันมะกอกได้ 4 ชนิดดังนี้




ประเภทของน้ำมันมะกอก

1. น้ำมันมะกอกที่มีความบริสุทธิ์สูง หรือ 
Extra Virgin Olive Oil 
คือ น้ำมันมะกอกที่ผ่านการสกัดด้วยวิธีบีบ (Expelling) หรือการบีบเย็น (Cold Press)  

>เป็นชนิดที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายสูงสุด แต่ก็เป็นน้ำมันมะกอกชนิดที่แพงที่สุด


>สกัดด้วยวิธีการบีบเย็น (Cold Press) จะไม่ใช้ความร้อนในการสกัดน้ำมันมะกอก  ทำให้ได้น้ำมันมะกอกที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงของคุณค่าทางโภชนาการน้อยมาก 

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้จึงมีรสและกลิ่นของผลมะกอกเหมือนกับผลมะกอกจริง 

>คุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารเหมือนผลมะกอกเกือบ 100% 

>เพราะว่าการสกัดด้วยวิธีบีบเย็นนี้ไม่ใช่ความร้อนในการสกัดสารอาหารในผลมะกอกจึงไม่โดนทำลายจากความร้อน 

>มีค่าความเป็นกรดน้อยมากคือ มีค่าความเป็นกรดต่ำกว่า 1% มีสีเขียวเข้ม 

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้เป็นน้ำมันมะกอกชนิดที่ดีที่สุด น้ำมันมะกอกชนิดนี้มีจุด Smoke Point ที่ 100 องศาเซลเซียส 

>ไม่เหมาะกับการนำมาปรุงอาหารประเภททอดหรือผัดด้วยความร้อนสูง เพราะที่ความร้อนสูงน้ำมันมะกอกชนิดนี้จะกลายเป็นอนุมูลอิสระ ที่เรียกว่า 
อะคลีเอมีน ( Acrylamine ) ที่เป็นสารก่อมะเร็งอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงควรนำไปปรุงอาหารที่ไม่ใช้ความร้อน เช่น ทำน้ำสลัด ราดบนเนื้อสัตว์ เป็นต้น



2.น้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์ ( Virgin Olive Oil )

 >น้ำมันมะกอกที่สกัดด้วยใช้ความร้อนทำให้สารอาหารบางชนิดโดนทำลายไปบ้างเล็กน้อย 

>มีค่าความเป็นกรดต่ำไม่เกิน 1.5% จึงมึคุณภาพน้อยกว่าน้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์พิเศษ 

>สกัดโดยใช้ความร้อนอาจจะทำให้กลิ่นและรสของน้ำมันมะกอกที่ได้เปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติ

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้ไม่เหมาะกับการนำไปปรุงอาหารที่ต้องผ่านความร้อน เช่นเดียวกับน้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธิ์พิเศษ

>เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่ได้รับความนิยมมากและนำมาใช้หลากหลายประโยชน์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้น้ำมันมะกอกที่มีราคาไม่แพง
3.น้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์ดี ( Fine Olive Oil ) >น้ำมันมะกอกที่สกัดในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนมาก 

>กรรมวิธีในการผลิตจะใช้ทั้งสารเคมีและความร้อนในการสกัดน้ำมันออกมาจากผลมะกอก 
>มีการขจัดสีและกลิ่นของมะกอกออกไปจากน้ำมันด้วย ทำให้น้ำมันที่ได้ไม่มีสี กลิ่นและรสของมะกอกหลงเหลืออยู่ 

>มีค่าความเป็นกรดต่ำอยู่ที่ 1.5-3 % 

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้เหมาะกับการทำอาหารที่ผ่านความร้อนน้อยหรือผ่านในระยะเวลาสั้นๆ เช่น การผัด การทำซอสที่ใช้ความร้อนนิดหน่อย เป็นต้น ไม่เหมาะกับการนำไปทอดเป็นเวลานาน



4.น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ( Pure Olive Oil ) คือ >น้ำมันมะกอกที่นิยมนำมาปรุงอาหารรับประทานกัน ทั้งอาหารที่ต้องผ่านความร้อน อย่างผัด ทอด และอาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อนอย่างการทำน้ำสลัด 

>มีค่าความเป็นกรดประมาณ 3-4 % ซึ่งถือว่ายังสามารถบริโภคได้ 
>มีกลิ่นมะกอกจะอ่อนมาก น้ำมันมะกอกชนิดนี้จะมีราคาถูกที่สุด 
>เหมาะกับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูงหรือต้องผ่านความร้อนเป็นเวลานานโดยเฉพาะการทอดจะดีมาก 
>มีจุด Smoke Point ที่ 200 องศาเซลเซียส แต่ไม่เหมาะกับการนำมาทำอาหารเพื่อรับประทานโดยตรง เช่น การกินกับสลัด การผสมซอส เป็นต้น



5. น้ำมันกากมะกอก คือ 
>น้ำมันที่สกัดจากกากของมะกอกที่เหลือจากการสกัดน้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์พิเศษหรือน้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์ดีไปแล้ว 

>นำกากมะกอกที่เหลือมาผ่านกรรมวิธีทางเคมีและความร้อนเพื่อให้ได้น้ำมันออกมา 

>ซึ่งน้ำมันชนิดนี้จะมีคุณภาพต่ำมาก มีปริมาณไขมันชนิดที่ไม่ดีสูงกว่าน้ำมันมะกอกทุกชนิด 

>สามารถนำมาใช้ในการปรุงอาหารที่ต้องอาศัยความร้อนสูงได้เช่นกัน แต่ไม่ควรนำมารับประทานโดยตรง

ครูดานิ




น้ำมันมะกอก คืออะไร ?




น้ำมันมะกอก คืออะไร ?
      น้ำมันมะกอก ( Olive Oil ) คือ น้ำมันธรรมชาติที่เกิดจากการนำเอา ผลแก่ของต้นมะกอกโอลิฟมาสกัดเอาน้ำมัน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของน้ำมันพืช 
      ลักษณะของน้ำมันมะกอก  จะมีสีเขียวใส 
สีเหลืองใส หรือใสไม่มีสี ขึ้นอยู่กับวิธีการที่นำมาผลิตน้ำมันมะกอก 

      สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ  นิยมนำน้ำมันมะกอกมาใช้ในการประกอบอาหาร 

    ผลการวิจัย ทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์บ่งบอกว่าน้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ 
เมื่อรับประทานเข้าไปจะไม่ก่อโทษในร่างกาย 
สามารถนำน้ำมันมะกอกมาใช้ปรุงอาหารรับประทานได้ทุกประเภท 



    น้ำมันมะกอกยังเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสบู่ พลาสเตอร์ วัสดุอุดฟัน น้ำมันสำหรับนวด
    เพราะว่าน้ำมันมะกอกนั้นซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและไม่ทิ้งความมันบนผิว จึงนิยมนำไปเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์ ครีมบำรุงผิว ครีมแต้มสิวและครีมบำรุงผิวหน้าอีกด้วย 

  น้ำมันมะกอกมีสรรพคุณ และประโยชน์อย่างไรบ้างสามารถเอามาทำอะไรได้บ้าง ติดตามในบทความต่อไปคะ

ครูดานิ

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

9 สมุนไพรสยบ!ฝ้าพร้อมสุตรการทำ กระ สิว! รอยดำฝ้า กระ จุดด่างดำ ค่อยๆ จางลง

9 สมุนไพรสยบ!ฝ้า กระ สิว!

ประโยชน์ของพืชผักสมุนไพรไทย นับว่ามีคุณค่าหรือ
สรรพคุณทางยามากมายมหาศาล เพราะนอกจากนำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว ใครจะคิดว่าจะสามารถสยบฝ้า กระ สิว ปัญหาโลกแตกของหนุ่มสาวทุกยุคสมัยลงได้



1.ว่านหางจระเข้ 
มีสรรพคุณ ช่วยลดน้ำหนัก ต้านการอักเสบของผิว ลดอาการ
แสบร้อนจากแสงแดด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส ชุ่มชื่น ขจัดสิว และมีส่วนช่วยลดการเกิดเม็ดสีผิวเมลานิน จึงลบรอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิวได้ดี

นำวุ้นว่านหางจระเข้ปั่น 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ล้างหน้าให้สะอาด พอกหน้า 20 นาที ล้างหน้าให้สะอาดทำสูตรนี้ทุกวัน เช้า-เย็น จะสังเกตุได้เลยว่ารอยดำฝ้า กระ จุดด่างดำ ค่อยๆจางลง












2.หัวไชเท้า
มีส่วนประกอบของสารไกลโคไซ ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วย
ในเรื่อง ลดรอยดำอย่างฝ้า กระ จุดด่างดำได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบจากสิว ทำให้สิวยุบ 
และแห้งตัวไวขึ้น พร้อมกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยชำระล้าง
ไขมันภายในรูขุมขน ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย 
ให้ผิวหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ผิวหน้าแข็งแรงขึ้น

       นำน้ำหัวไชเท้าแช่เย็น 3 ช้อนโต๊ะ + ดินสองพอง 1 เม็ด
 + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมเป็นเนื้อครีม พอกหน้า 15-20 นาที
ล้างออกให้สะอาด
       หัวไชเท้าสดมีฤทธิ์แสบร้อน หากนำหัวไชเท้ามาพอกสดๆ
อาจไม่เหมาะกับผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่ายแน่นอน แต่สำหรับใคร
ที่ใช้ได้ก็จะเห็นผลชัดเจนเลยว่ารอยฝ้าจางลงได้จริง



3.ใบบัวบก
สรรพคุณ มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ให้แข็งแรงขึ้น
พร้อมทั้งช่วยในเรื่องระบบไหลเวียนเลือด จึงช่วยฟื้นฟูเซลล์
ผิวเสื่อมสภาพ ทำให้ปัญหาผิวหมองคล้ำที่เป็นรอยฝ้า กระ
จุดด่างต่างๆลดเลือนลง

       นำใบบัวบก 1 กำมือ + น้ำอุ่นหรือน้ำสะอาด 1 ถ้วย ปั่นให้
เข้ากัน กรองน้ำ ใช้สำลีเช็ดหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 15-20 นาที หรือ
พอกจนแห้ง ล้างออกให้สะอาด
       ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือทำทุกวันที่ต้องการ เท่านี้ก็จะ
ช่วยลดรอยฝ้าได้ดี



4.มะละกอ
สรรพคุณ มีเอนไซม์ปาเปน แคโรทีน วิตามิน
ซี ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์
ผิวได้ดี โดยเฉพาะรอยดำจากสิว รอยฝ้า รอยกระ สามารถลด
เลือนลงได้ แถมยังช่วยให้ผิวหน้านุ่มนิ่ม น่าสัมผัส นอกจาก
นี้ยังสามารถช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสมานแผลไฟ
ไหม้น้ำร้อนลวกได้

        นำมะละกอสุกบด 1/3 ลูก + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา + น้ำมะ
นาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด นำมาพอก
หน้า 20 นาที ล้างออกให้สะอาด
         ควรทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทำต่อเนื่องกันหลายเดือน
เพื่อเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่าง



5.มะนาว
สรรพคุณ มีกรดซิดตริก ที่เหมือนสารฟอกสีผิวให้กระจ่างใส
มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีกรด AHA และ วิตามินซี ที่ช่วยผลัด
เซลล์ผิวเก่า ลดลอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิว พร้อม
ช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ ให้ขาวใสมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วย
ลดความมัน ลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขนได้ดี

        ใช้น้ำมะนาว 2 ลูก + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน 
ล้างหน้าให้สะอาด พอกหน้า 15-20 นาที ล้างออกให้สะอาด 
        ช่วงเช้า-บ่าย ไม่ควรออกแดดทันทีเมื่อพอกหน้าด้วย
มะนาว เพราะมะนาวมีกรด AHA ทำให้ไวต่อแสงแดดได้
ทางที่ดีควรพอกหน้าช่วงเวลาตอนเย็น หรือก่อนจะนอน



6.หอมแดง
สรรพคุณ มีฤทธิ์ช่วยลดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิว เพราะมี
สารกำมะถัน วิตามินซี ที่ช่วยลดรอยดำ ต่อต้านอนุมูลอิสระ
ผลัดเซลล์ผิวหมอง ปรับสิวผิวบริเวณนั้นๆให้กระจ่างใส
พร้อมลดอาการอักเสบจากสิวได้ดี

ให้ฝานหอมแดงบางๆ แปะที่รอยฝ้า 10 นาที ล้างออกให้สะอาด
ด้วยหอมแดงมีกำมะถัน ทำให้แสบตาหรือแสบผิวได้ จึงควร
ฝานแล้วแช่ให้เย็นก่อนใช้ เพื่อลดอาการแสบจากหอมแดง



7.มะขามเปียก
สรรพคุณ มี AHA และวิตามินซี ที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิว
หมองคล้ำ ลดการเกิดรอยดำฝ้า กระ ลดรอยสิว รวมถึงช่วย
ทำความสะอาดสิ่งอุดตันในรูขุมขน ลดความมัน และลดการ
เกิดสิวได้ดี

        มะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เป็น
เนื้อครีม ล้างหน้าให้สะอาด พอกหน้า 15-20 นาที ล้างให้
สะอาด
        ด้วยมะขามเปียก มี AHA จึงไม่เหมาะที่จะออกแดดเลย
ทันที หรือถ้าจำเป็นต้องออกแดด ควรทาครีมบำรุงที่ช่วยให้
ผิวชุ่มชื้น และทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน 15 นาที



8.ใบกระเพรา
สรรพคุณ มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี ที่มีส่วน
ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดรอยดำจากฝ้า กระ
จุดด่างดำจากสิวได้

        ใบกระเพราะแห้งป่น 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำอุ่น 1 ถ้วย ผสม
ให้เข้ากัน แล้วใช้สำลีชุบน้ำทาบริเวณที่เป็นกระ ทิ้งไว้ให้แห้ง
แล้วล้างออกให้สะอาด ควรทำทุกวัน เช้า-เย็น



9.ขมิ้น
สรรพคุณ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น
วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม ธาตุฟอส
ฟอรัส ธาตุเหล็ก เกลือแร่ต่างๆ ที่มีสรรพคุณทางยาที่รักษา
อาการและโรคหลายชนิด โดยเฉพาะรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนัง
อย่าง สิว ฝ้า กระ กราก เกลื้อน และแผลต่างๆ

        ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชา + น้ำมะนาวสด 1 ช้อนชา +
นมสด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกหน้า หรือนวด
จุดที่มีรอยดำ
15 นาทีขึ้นไป หรือทิ้งไว้จนแห้ง ล้างออกด้วยน้ำอุ่น กระชับ
ผิวด้วยน้ำเย็น
        เพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้น ควรทำทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 3 ครั้ง


ที่มาข้อมูลอ่านเพิ่มเติม -  โครงการอนุรักษ์พันธุกรรม
พืชอันเนื่องมาจาก
รพะราชดำริ,โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ,http://www.herbandherthailand.com

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563

สบู่ dani dani soap สมุนไพรจากธรรมชาติดีอย่างไร ?






สบู่สมุนไพรจากธรรมชาติดีอย่างไร ?
สมุนไพรได้ถูกค้นพบเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ ภูมิปัญญาไทยสมัยโบราณค้นพบว่าเป็นยารักษาโรคและเครื่องประทินผิว ด้วยคุณประโยชน์ของสมุนไพรที่หลากหลายจึงได้มีการนำมาใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในการทำสบู่สมุนไพรจากธรรมชาติ 

  เช่น dani dani soap ซึ่งนอกจากจะให้สรรพคุณนอกเหนือจากการทำความสะอาดร่างกายแล้วยังสามารถช่วยบำบัดและดูแลผิวได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย




สมุนไพรที่ใช้ในการทำสบู่เช่น 

    ขมิ้นชัน มีสารออกฤทธิ์คือ เคอร์คูมิน ดีเมท็อกซี่เคอร์คูมิน บิสดีเมท็อกซี่เคอร์คูมิน มีฤทธิ์ช่วยสมานแผลและเร่งการสร้างเนื้อเยื่อ ระงับการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง และลดการอักเสบ
มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราอันเป็นสาเหตุของโรคกลาก




ดังนั้นการเลือกใช้พืชสมุนไพรชนิดใดมาเป็นส่วนผสม นิยมเลือกใช้ตามสรรพคุณทางยา โดยดูจากสรรพคุณของสมุนไพรจากตำราหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น สารสกัดที่ได้จากสมุนไพรในธรรมชาติมีความปลอดภัยมากกว่ายาหรือสารสังเคราะห์ทางเคมี ซึ่ง dani dani soap  ผลิตจากสมุนไพรแท้จากธรรมชาติ จึงปลอดภัยกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง





ความมหัศจรรย์ของสบู่สมุนไพรอยู่ที่ 

การไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ 
ซึ่งสมุนไพรมีสารเคมีในธรรมชาติอยู่แล้ว 
ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่เป็นอันตราย และต้นทุนสูง อาจทำให้เกิดอาการแพ้ หรือระคายเคืองได้




อยากผิวสวยกระจ่างใสต้องทำแบบนี้จ้า




เคล็ดลับผิวสวย 

อยากมีผิวขาวใส เปล่งประกายออร่าไปทั้งเนื้อทั้งตัว แต่ไม่รู้วิธีไหนจะใช้ได้ผล ลองดูวิธีนี้ดูซิคะ




เคล็ดลับผิวสวยผิวใส


1. ขัดผิวเพื่อความกระจ่างใส

ขัดผิวเป็นวิธีทั่วไปที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่าให้เรา สาวๆมักจะขัดผิวหน้า แต่ละเลยผิวกาย งั้นเราต้องเริ่มทำการขัดผิวกายด้วยอุปกรณ์ให้เหมาะกับผิวในแต่ละส่วนด้วยนะคะ เช่น ฟองน้ำ ใยบวบ ใช้ได้กับผิวที่แขนและขา แปรงสีฟันนุ่ม ๆ ใช้ขัดริมฝีปากได้ แปรงขนนุ่มใช้ขัดหลัง และ หินขัดผิวใช้กับเท้า เป็นต้น



2. ทาโลชั่นทุกสัดส่วน
ทาโลชั่นกับผิวนอกร่มผ้าเท่านี้ก็จะทำให้ผิวดูขาวใสเปล่งประกายได้แล้วนะ เพราะผิวสวยส่วนอื่นเองก็ต้องการความชุ่มชื้นเช่นกัน ดังนั้นถ้าอยากมีผิวสุขภาพดีไปทั้งเนื้อทั้งตัว ก็เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือโลชั่นทาผิวให้เหมาะสมกับผิว

3. อย่าเปลี่ยนเครื่องสำอางบ่อย
มีคนขี้เบื่อจำนวนไม่น้อยเลยที่ชอบเปลี่ยนยี่ห้อแชมพู สบู่ โลชั่น หรือชอบลองสครับผิวตัวใหม่อยู่เรื่อย ๆ แต่รู้ไหมคะว่าการทำแบบนี้นี่แหละ ที่เสี่ยงให้ผิวเกิดอาการแพ้ และระคายเคือง ฉะนั้นผลิตภัณฑ์ไหนที่ใช้แล้วเวิร์คกับผิว ก็ปักใจใช้ไปนาน ๆ จะดีกว่า สวยไม่เสี่ยงด้วย




4. กันแดดทั้งตัว
ดูแลผิวพรรณด้วยการทาโลชั่นทั้งตัว หรือขัดผิวทุกสัดส่วนอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องรวมไปถึงการปกป้องผิวพรรณจากแสงแดดและรังสียูวี ศัตรูตัวฉกาจของผิวขาวใสด้วย การทาโลชั่นกันแดดทั้งผิวหน้า แขน ขา และผิวใต้ร่มผ้า เพื่อปกป้องยูวีร้ายไม่ให้มาทำลายผิวเรา แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกฤดูด้วยนะคะ เพราะยูวีไม่ได้มีแค่หน้าร้อน





5. อย่าอาบน้ำอุ่นนานเกินไป

อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นมันแสนสบายเสียนี่กระไร แต่ผิวไม่ได้สบายไปด้วยแน่ ๆ เพราะเมื่อผิวเจอความร้อน จะทำให้ความชุ่มชื้นและน้ำมันธรรมชาติในผิวระเหยออกมาได้มากกว่าปกติ จึงอาจทำให้ผิวแห้งไม่ชุ่มชื้น 


แค่นี้เราก็สามารถดูแลผิวได้อย่างง่ายๆ ที่บ้านด้วยตัวเองแล้วจ้า


สรรพคุณสมุนไพรทานาคา







      ทานาคา มีที่มาจากต้นทานาคา ซึ่งมีมากในแถบตอนกลางของพม่า 
     ส่วนที่มีกลิ่นหอมและเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์คือ ส่วนที่เป็นเปลือก 

     การนำทานาคามาใช้จะเลือกต้นทานาคาที่มีอายุราวๆ 35 ปี ตัดเป็นท่อนๆ ขนาดพอดีมือ แล้วใช้ส่วนของเปลือกไม้ไปฝนหรือบดกับหินขัดพร้อมพรมน้ำเป็นระยะ จะได้ออกมาเป็นผงสีออกขาวเหลือง ใช้ทาหน้า ทาตัว ถือเป็นวิธีดั้งเดิม

   ทานาคา มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่สูงมาก และมีสาร OPC และ Curcuminoid ทำให้ทานาคามีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะต่อต้านความเสื่อมของเซลล์และยังช่วยป้องกันการเกิดสิว ด้วยคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และช่วยลดผดผื่นคัน ลดการเกิดจุดด่างดำและฝ้า มีฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน และยังช่วยป้องกันการทำลายผิวจากรังสียูวีอีกด้วย



สรรพคุณในการดูแลผิวหน้า

1.ปรับผิวหมองคล้ำ ให้ขาวผ่อง อย่างปลอดภัยเพราะเป็นสมุนไพรธรรมชาติ
2.หน้าเนียน นุ่ม ล้างออกมาหน้าไม่แห้งตึง ลูบแล้ว สัมผัสได้ถึงความเนียนของผิว
3.สามารถนำมาแต้มหัวสิวได้ ช่วยลดการอักเสบของสิว สิวจะยุบและแห้งเร็ว ควบคุมความมัน สิวใหม่ไม่เกิด
4.ฝ้า กระ และจุดด่างดำ จางลง อย่างเห็นได้ชัด
5.ลดผดผื่น อาการคัน แดง แสบ จากการแพ้เครื่องสำอาง และสารเคมี หรืออื่นๆ
6.มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ช่วยลดริ้วรอย ร่องลึกได้ดี ผิวหน้าอ่อนเยาว์
7.ป้องกันแดดให้กับผิวได้เป็นอย่างดี
8.รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว จางลง เพราะผิวได้รับการผลัดผิวที่เสื่อมสภาพอย่างอ่อนโยน
9.ระงับกลิ่นตามร่างกาย

dani dani soap เลือกสรรสมุนไพรไทยที่เหมาะกับการดูแลสุขภาพผิวของคุณเช่น ทานาคา ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักสำคัญในสบู่ของเรา