วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

10 สมุนไพรรักษาสิว สมุนไพรรักษาสิวให้หายเร็วแบบธรรมชาติ


สมุนไพรรักษาสิว ที่สามารถนำมาใช้รักษาสิวให้หายเร็วแบบธรรมชาติแล้ว ยังปลอดภัยอีกด้วย รู้แบบนี้แล้ว ก็รีบมาทำความรู้จักกับ 10 สมุนไพรไทยที่
ช่วยรักษาสิวกันดีกว่าค่ะ

สมุนไพรไทย นั้นมีความสำคัญถือเป็นพรรณพืชที่มีสรรพคุณทางยา ที่ได้มีการนิยมนำมาใช้รักษาโรค เพื่อนๆรู้กันไหมคะ ว่าสมุนไพรบางชนิดยังมีสรรพคุณที่จะช่วยรักษาสิวให้หายเร็วๆได้อีกด้วย  เรียกได้ว่าเหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่เป็นสิวพอดี  เพราะนอกจากจะช่วยรักษาสิวให้หายและยุบเร็วแล้ว
ยังถือได้ว่าสามารถช่วยให้เป็นวิธีรักษาสิวที่ปลอดภัยจากธรรมชาติ และที่สำคัญเรายังสามารถทำการหาได้ง่าย ๆ ด้วย เพราะเป็นสมุนไพรไทย ที่มีให้เลือกอยู่ใกล้ ๆ รอบตัวเรานี่เองค่ะ
ทั้งนี้จะมีสมุนไพรไทยตัวไหนบ้างที่จะสามารถนำมาใช้จัดการกับปัญหาสิวอย่างได้ผลนั้น  วันนี้เราก็ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเหล่า  สมุนไพรต่างๆทั้ง 10 ชนิดที่สามารถนำมาใช้รักษาสิว มาให้กับสาว ๆ กันแล้วค่ะ


1. สมุนไพรรักษาสิว ใบบัวบก


สมุนไพรรักษาสิว โดยให้นำใบบัวบกมาตำก่อน ซึ่งจะต้องทำการตำให้ละเอียด และทำการผสมน้ำลงไปเล็กน้อย ซึ่งเมื่อใบบัวบกละเอียดแล้วจากนั้นให้นำมาโปะพอกหน้า โดยเฉพาะบริเวรที่เป็นสิวและให้ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงค่อยเอาออก  จากนั้นก็ให้ล้างหน้าให้สะอาด โดยคุณสมบัติของใบบัวบกนั้นจะช่วยลดการอักเสบของสิว ได้เป็นอย่างดี  เป็นผลทำให้สิวจะค่อย ๆ ยุบลง และหายได้เร็วขึ้นกว่าเดิม


2. สมุนไพร ว่านหางจระเข้

สมุนไพร ว่านหางจระเข้จะมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงผิวอย่างดี สามารถช่วยป้องกันฝ้า ลดฝ้า ลดสิว และลดริ้วรอยดำได้ด้วย วิธีการนำว่านหางจระเข้มาใช้ในการรักษาสิวนั้นก็ง่ายๆ
โดยเพียงแค่นำเนื้อใส ๆ ของว่านหางจระเข้ มาทายังบริเวณที่เป็นสิว ซึ่งต้องทำการทาบ่อยๆ อย่างเป็นประจำ เพียงเท่านี้หน้าของคุณก็จะสวยใส ห่างไกลจากสิวได้ในเร็ววัน


3. สมุนไพรช่วยรักษาสิว ไพล


สมุนไพรช่วยรักษาสิว ไพล วิธีการนำ ไพลมาใช้ในการรักษาสิวนั้น ก็ให้นำเหง้าไพลมาหั่นแบบเป็นชิ้น ๆ และนำชิ้นไพลที่ได้ทำการหั่นเรียบร้อยแล้วนำมาตำ ซึ่งจะต้องทำการตำให้ละเอียด หลังจากนั้นให้ใส่น้ำที่สะอาด และดินสอพองผสมกันลงไป และทำการคนให้จนเป็นเนื้อเดียวกัน เสร็จแล้วก็ให้นำมาพอกหน้า
ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงจะค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด  สิวที่อักเสบก็จะค่อย ๆ มีการยุบตัวลงไปอย่างรวดเร็ว และยังจะเป็นการดีที่สามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อันเป็นต้นเหตุของการช่วยลดการเกิดสิวใหม่ได้อีกด้วย


4. รักษาสิวด้วย หอมแดง

รักษาสิว ด้วยหอมแดง วิธีการนำหอมแดงมาใช้ในการรักษาสิวนั้น โดยให้นำหอมแดงมาหั่นเป็นแว่น ๆ แล้วให้ทำการทุบเล็กน้อย เพื่อให้มีน้ำของหอมแดงออกมา หลังจากนั้นให้เพื่อนๆนำหอมแดงที่ได้เอามาวางโปะไว้ตรงที่บริเวณหัวสิว หอมแดงจะมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เป็นผลทำให้สิวอักเสบยุบลงได้อย่างรวดเร็ว

5. รักษาสิวกับ กระเทียม


รักษาสิวกับ กระเทียม วิธีการนำ กระเทียมมาใช้ในการรักษาสิวนั้นสุดแสนจะง่ายมากๆ  โดยให้เพื่อนๆทำการนำกลีบกระเทียมเอามาฝานให้เป็นแผ่นบาง ๆ แล้วหลังจากนั้นให้นำกลีบกระเทียมที่เตรียมไว้นำไปถูบริเวณหัวสิว
และโปะทิ้งไว้โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที จึงจะค่อยเอาออก และทำการล้างหน้าให้สะอาดง  โดยที่กระเทียมจะมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดอาการอักเสบของสิว และยังสามารถลดรอยดำรอยแดงจากสิวได้ดีอีกด้วย


6. ใช้มะนาว รักษาสิว

สมุนไพรใช้รักษาสิว วิธีการนำมะนาวมาใช้ในการรักษาสิวนั้น โดยให้นำมานาวมาผ่าแบ่งออกเป็น 4 ซีก  และให้บีบน้ำมะนาวสด ๆ 1 ซีกเอาไป ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และทำการคนให้เข้ากัน  จากนั้นก็ให้นำสำลีมาชุบ
และทาให้จนทั่วใบหน้า แล้วทิ้งไว้ก่อนโดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที จึงค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีการนี้สามารถทำได้ทุกๆวัน ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สิวจะค่อย ๆ ลดลงและหายไปนั่นเอง


7. สมุนไพรลดสิว ขมิ้นชัน

สมุนไพรลดสิว วิธีการนำขมิ้นชันมาใช้ในการรักษาสิวนั้น โดยนำผงขมิ้นชันมาผสมกับน้ำมะนาว ทำการคนให้เข้ากัน เมื่อได้ที่แล้วก็ให้นำมาแต้มบริเวณที่เป็นสิว
และทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที ก่อนจึงค่อยทำการล้างออกให้สะอาด โดยขมิ้นชันและกรดที่เราได้จากน้ำมะนาว  จะมีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เป็นเหตุทำให้สิวอักเสบยุบลงได้โดยง่าย และยังช่วยทำให้รอยดำรอยแดงจากสิวจางลงอีกด้วยเช่นกัน


8. สมุนไพรพอกสิว มะขามเปียก

สมุนไพรพอกสิว วิธีการในการใช้มะขามเปียกมาใช้ในการรักษาสิวนั้น ให้เพื่อนๆนำมะขามเปียกมาทำการละลายน้ำให้ข้น ๆ แล้วหลังจากนั้นให้เอาน้ำผึ้งผสมลงไปปริมาณเล็กน้อย และทำการคนให้เข้ากัน
หลังจากนั้นก็นำมาพอกหน้า และทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที เสร็จแล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้นอกจากจะช่วยให้สิวอักเสบยุบและแห้งลงได้รวดเร็วแล้ว อีกทั้งยังจะช่วยทำให้รอยสิวจางลงได้ดี


9 . สมุนไพรทาสิว กล้วยหอม

สมุนไพรทาสิว กล้วยหอม… นอกจากจะกินได้อร่อยแล้วยังมีคุณประโยชน์มากมายแก่ร่างกายของเราแล้ว กล้วยหอมยังช่วยให้ประโยชน์ต่อผิวพรรณเหมือนกันนะคะ วิธีการนำกล้วยหอมมาใช้ในการดูแลผิวพรรณนั้น
โดยให้นำกล้วยหอม 1 ลูก ปั่นผสมกันกับน้ำผึ้ง หลังปั่นเสร็จให้นำมาพอกทั่วใบหน้าแล้วทิ้งไว้รอประมาณ 15-20 นาที เมื่อครบแล้วให้ทำการล้างออกด้วยน้ำเปล่าที่สะอาด  ทำแบบนี้บ่อยๆจะสามารถช่วยทำให้หน้าตาแลดูสดใสขึ้นได้ และยังช่วยลดการเกิดสิวด้วย


10 . ใบบัวบก สมุนไพรรักษาสิว

สมุนไพรรักษาสิว ใบบัวบก เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วว่าเมื่อกินแล้ว จะช่วยรักษาอาการฟกช้ำได้เป็นอย่างดี และใบบัวบกยังมีสรรพคุณที่จะสามารถใช้ลดรอยดำอันเกิดจากสิว และยังสามารถช่วยลดริ้วรอยแผลเป็นจากสิว แผลคีลอยด์ได้อีกด้วย เนื่องจากใบบัวบกนั้นจะมีส่วนประกอบของสารไกลโคไซด์ (Glucosides)
อันสามารถช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ และสารชนิดนี้ยังมีส่วนสามารถช่วยในการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหน้าของเราให้ดีอีกด้วย เมื่อคอลลาเจนได้ถูกสร้างเพิ่มขึ้น ผลที่ได้ตามมาก็คือ รอยดำต่างๆก็จะลดลง เจือจางลงไปได้ และยังจะทำให้ผิวหน้าโดยรวมดีขึ้นกว่าเดิม อีกต่างหาก
วิธีการใช้ใบบัวบก มาใช้ในการดูแลรักษาหน้านั้น ให้นำใบบัวบกไปปั่นกับเครื่องปั่น หรือหากใครไม่มีเครื่องปั่น  แล้วให้เพื่อนๆเอาใบบัวบกไปตำไว้ในครกก็ได้โดยต้องตำจนใบบัวบกละเอียดค่ะ หลังจากนั้นก็นำใบบัวบกที่ได้ เอามาพอกที่บริเวณหน้าได้เลย แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จึงจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ว้าว… ว้าว…  มีสมุนไพรไทยที่ช่วยรักษาสิวได้  ให้เลือกใช้เยอะแยะมากมายจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว แถมแต่ละอย่างนี่ก็สุดแสนจะหาได้ง่าย ๆ จากในครัวทั้งนั้น  คราวนี้ล่ะก็คงจะหมดปัญหาเรื่องสิวป่วนกวนใจแน่นอน

ทำสบู่ได้ง่าย ๆ คุณก็ทำได้ เช่นกัน
อยากทำสบู่ได้ อยากทำสบู่เป็น 
อยากทำสบู่ใช้เองแต่ไม่มีพื้นฐานใด ๆ เลย
ครูดานิแนะนำคู่มือการทำสบู่
สูตรสร้างอาชีพ ทักมาได้นะคะ

Line : @127wsjci

หรือทางข้อความเพจ : สอนทำสบู่ เรียนทำสบู่ สอนออนไลน์ ครูดานิ
หรือเข้าไปเยี่ยมชมเวปไซด์ได้คะ

www.danidanisoap.com










10 สูตรสมุนไพร “รักษาฝ้า” ปลอดภัย ได้ผลชัวร์


เชื่อเลยว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือคุณผู้ชายหลายๆคน จะต้องพบเจอกับปัญหาในเรื่องของผิวพรรณ หลายคนอาจจะทำงานตากแดด หลายคนอาจจะอยู่ในร่ม แต่ก็อาจจะเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และแน่นอนว่าในวันนี้เรามีเรื่องดีๆมาฝากเพื่อนๆกัน รับรองเลยว่า ฝ้ากระจุดด่างดำของเพื่อนๆ จะต้องหายไปจากใบหน้าอย่างแน่นอน



1.มะนาว

คั้นเอาน้ำมะนาวออกมา นำน้ำมะนาวไปทาบริเวณที่เป็นฝ้า โดยถูเบาๆ ให้ทั่วประมาณ 1-2 นาที ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นใช้น้ำอุ่นล้างออก ทำประมาณวันละ 2 รอบ จะเห็นผลประมาณภายใน 3 สัปดาห์



2.น้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์

กรดน้ำส้มที่พบในน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็นสารฟอกผิวที่มีประสิทธิภาพมาก โดยกรดน้ำส้มนี้จะสามารถช่วยลบรอยฝ้า รอยด่างดำ และทำให้ผิวนุ่นนวยและกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น ขั้นตอนการรักษาฝ้าด้วยน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ มีดังนี้

นำน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์และน้ำเปล่ามาผสมกันในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน น้ำส่วนผสมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า จากนั้นทิ้งไว้ให้แห้งเองโดยธรรมชาติ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น เช็ดผิวให้แห้ง ควรทำอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง



3.ขมิ้น

ขมิ้นสามารถช่วยลดสารเมลานินบนผิวหนังได้ อีกทั้งยังช่วยกำจัดฝ้าให้จางลงได้อีกด้วย เคอคูมินเป็นส่วนประกอบหลักในขมิ้น มีคุณสมบัติพิเศษทำให้ผิวเรากระจ่างใสขึ้น และยังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย สูตรขมิ้นรักษาฝ้า สามารถทำได้ดังนี้ คือ

ผสมผงขมิ้นปริมาณ 5 ช้อนโต๊ะ กับนมปริมาณ 10 ช้อนโต๊ะ แนะนำว่าควรเป็นนมชนิดที่ยังไม่ได้แยกไขมันออก เพราะนมประเภทนี้จะยังมีกรดแลคติคและแคลเซี่ยมอยู่ เป็นตัวช่วยให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวและทำให้ผิวนุ่มขึ้น ผสมแป้งถั่วลูกไก่ลงไปเพื่อให้ส่วนผสมมันข้น นำส่วนผสมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นใช้น้ำอุ่นล้างออก แล้วเซ็ดให้แห้ง เพื่อให้เห็นผลอย่างรวดเร็ว ควรทำสูตรนี้วันละครั้ง




4.น้ำหัวหอมใหญ่

สูตรรักษาฝ้าด้วยน้ำหัวหอมใหญ่เป็นอีกสูตรนึงที่มีประสิทธิภาพในการปรับสภาพผิวให้กลับมาเป็นปกติ ในหัวหอมใหญ่จะมีส่วนผสมของกำมะถันทำให้น้ำหัวหอมใหญ่สามารถแก้ฝ้าหรือทำให้ฝ้าจางลงได้ นอกจากนั้น น้ำหัวหอมใหญ่ยังช่วยบำรุงเซลล์ผิวอีกด้วย ขั้นตอนการทำน้ำหัวหอมใหญ่รักษาฝ้า มีดังนี้

นำหอมหัวใหญ่ 2-3 หัว มาสับให้ละเอียด นำผ้าขาวบางมาห่อ จากนั้นก็บีบเอาน้ำหัวหอมใหญ่ออกมา นำน้ำหัวหอมใหญ่ที่ได้มาผสมกับน้ำส้มแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ในอัตราส่วนที่เท่ากัน ใช้สำลีก้อนชุบส่วนผสมที่ได้ จากนั้นนำไปทาบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำประมาณวันละ 2 รอบ จะเห็นผลภายในไม่กี่สัปดาห์



5.ว่านหางจระเข้

เชื่อหรือไม่ว่าเมือกเหนียวๆ ในเนื้อว่านหางจระเข้มีสรรพคุณสามารถช่วยทำให้ฝ้าจางลงได้ ทำให้สีผิวกลับไปเป็นสีปกติ นอกจากนี้ว่านหางจระเข้ยังช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสียไปแล้วออกจากผิวหนังและช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ วิธีรักษาฝ้าด้วยว่านหางจระเข้ ทำได้ดังนี้ คือ

ตัดว่านหางจระเข้มา จากนั้นคว้านเอาเฉพาะเนื้อใสๆ ด้านใน ทน้ำเนื้อว่านหางจระเข้ที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า นวดเบาๆ ประมาณ 1-2 นาที ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นใช้น้ำอุ่นล้างออกให้สะอาด ควรทำวันละ 2 ครั้ง จะเห็นผลภายในไม่กี่สัปดาห์


6.ข้าวโอ๊ต (Oatmeal)

ข้าวโอ๊ตเป็นวัตถุดิบธรรมชาติที่ช่วยทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิว โดยเฉพาะการทำให้จุดด่าง ดำบนใบหน้าลบเลือนลง และข้าวโอ๊ตยังช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสียไปแล้ว ทำให้ผิวของคุณดูสว่างใสมากยิ่งขึ้น สูตรข้าวโอ๊ตรักษาฝ้า ทำได้ดังนี้ คือ

นำข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ นมสด 2 ช้อนโต๊ะ และ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน นำไปทาบริเวณที่เป็นฝ้า หรือมีรอยจุดด่าง ดำ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง ควรทำสูตรนี้ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำต่อเนื่องประมาณ 1 เดือนจะเริ่มเห็นผล




7.อัลมอนด์

ปกติแล้วในอัลมอนด์จะมีโปรตีนในปริมาณสูง หากรับประทานเป็นประจำจะทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น นอกจากนั้นยังมีวิตามิน อี ช่วยบำรุงผิวและลบรอยหมองคล้ำบนผิวของเราได้ สูตรอัลมอนด์รักษาฝ้า ทำง่ายๆ ดังนี้

ผสมผงอัลมอนด์กับน้ำผึ้งในปริมาณที่พอเหมาะ นำส่วนผสมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ควรทำอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์จนกว่าจะเห็นผล

อีกทางเลือกนึง นำอัลมอนด์แช่ลงไปในน้ำนมให้ชุ่ม จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด เติมน้ำผึ้งลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วผสมให้เข้ากัน นำส่วนผสมครีมแก้ฝ้าที่ได้ไปทาบริเวณที่เกิดฝ้า แนะนำให้ทำก่อนนอนแล้วทิ้งไว้จนถึงตอนเช้า พอตื่นขึ้นมาก็ล้างออกด้วยน้ำเย็น แนะนะว่าควรทำทุกวันๆละ 1 ครั้ง ประมาณ 2 อาทิตย์จะเริ่มเห็นผล




8.ฮอร์สแรดิช (Horseradish)

หัวฮอร์สแรดิชสามารถนำมาใช้ในการรักษาฝ้าได้ ซึ่งวิธีนี้มีการใช้มานานแล้ว บ้านเราค่อนข้างหายากหน่อย ฮอร์สแรดิชจะมีคุณสมบัติช่วยกำจัดเซลล์ผิวเพื่อให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ลดรอยหมองคล้ำของผิวหนัง รวมถึงรักษาฝ้า หรือทำให้ฝ้าจางลงได้ วิธีใช้ฮอร์สแรดิชรักษาฝ้า ทำได้ดังนี้

หั่นหัวฮอร์สแรดิชเป็นแว่นๆ จากนั้นก็นำไปถูบริเวณที่มีรอยฝ้า ให้น้ำที่ซึมออกมาจากหัวฮอร์สแรดิชซึมเข้าไปในผิวหนัง ปล่อยไว้ให้แห้งเอง หลังจากที่แห้งแล้วให้ใช้น้ำอุ่นล้างหน้าสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง ควรทำอาทิตย์ละครั้งจนกว่ารอยดำจากฝ้าจะจางหายไป ผสมผงฮอร์สแรดิช 2 ช้อนโต๊ะกับครีมเปรี้ยวปริมาณ 1 ถ้วย ให้เข้ากัน จากนั้นนำไปทาบริเวณที่เป็นฝ้า หรือรอบหมองคล้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ควรทำอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ทำต่อเนื่องจนกว่าจะเห็นผล



9.มะละกอ

แปปเพ็น เป็นเอนไซม์ชนิดนึงที่พบในมะละกอ เอนไซม์ตัวนี้มีฤทธิ์ในการช่วยให้ผิวหนังผลัดเซลล์ผิวได้ดี โดยช่วยเร่งการกำจัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอกที่เสียหรือเสื่อมโทรม ขั้นตอนการใช้มะละกอรักษาฝ้า ทำได้ตามนี้

นำมะละกอสุกมาบดให้เละ ผสมน้ำผึ้งสองช้อนโต๊ะต่อมะละกอสุกบดหนึ่งถ้วยครึ่ง นำส่วนผสมที่ได้มาทาบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ควรทำตามสูตรนี้อาทิตย์ละครั้ง ต่อเนื่องกันหลายเดือนถึงจะเห็นผลที่ชัดเจน





10.ไม้จันทน์

ไม้จันทน์เป็นวัตถุดิบอีกตัวนึงที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวดูสว่าง ใส ขึ้น นอกจากนั้นไม้จันทน์ยังช่วยให้สภาพผิวดีขึ้นและลดการเกิดฝ้า รอยด่างดำ ต่างๆที่อาจจะเกิดกับผิวได้ มาดูวิธีใช้ไม้จันทน์รักษาฝ้า กันได้เลย

นำผงไม้จันทน์ ผงขมิ้น และนมมาในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากนั้นผสมให้เข้ากันจนได้ส่วนผสมที่เหนียวๆ นำส่วนผสมที่ได้จากการเตรียมข้อ 1 มาทาให้ทั่วบริเวณที่เกิดฝ้า แล้วทิ้งไว้จนกว่าส่วนผสมทั้งหมดจะแห้งไปเอง หลังจากที่ส่วนผสมทั้งหมดแห้งแล้ว ให้ใช้น้ำสะอาดลูบบริเวณที่ทาส่วนผสมลงไปให้พอเปียกๆ จากนั้นก็ถูเป็นวงกลมรอบๆ บริเวณที่เป็นฝ้า สุดท้าย ล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง ควรทำตามสูตรนี้ประมาณอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ทำต่อเนื่องจนกว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน

ควบคู่ไปกับการใช้สมุนไพรรักษาฝ้า เราควรที่จะหลีกเลี่ยงแสงแดด อย่าโดนแดดแรงๆ เป็นเวลานานๆ และอย่าลืม หากต้องออกไปสถานที่ที่ต้องโดนแสงแดดเป็นประจำ เราควรทาโลชั่นป้องกันแสงแดดเอาไว้ด้วยเพื่อไม่ให้ผิวของเราโดนรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ทำร้าย ควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ดื่มน้ำในประมาณที่มากเพียงพอเพื่อกำจัดท็อกซินและป้องกันไม่ให้เกิดฝ้า จำไว้ว่าการป้องกันคือวิธีรักษาฝ้าที่ดีที่สุด

ขอขอบคุณ : nomoremelasma

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

สบู่น้ำมันมะกอก...ใช้แล้วดีอย่างไร




        น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันที่มีความนิยมและมีประโยชน์หลากหลายทั้งต่อผิวหนัง ผม และยังมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย 
          ทุกคนรู้ประโยชน์และมีการนำมาใช้ตั้งแต่ในสมัยโบราณมาแล้วและเป็นที่นิยมมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน 
          
         น้ำมันมะกอก ยังเป็นส่วนประกอบหลักในผลิตถนอมผิวหลากหลายประเภททั้งแบรนด์ใหญ่ระดับโลก  หรือแบรนด์ท้องถิ่นล้วนมีการผสมน้ำมันมะกอก อันเนื่องมาจากประสิทธิภาพของน้ำมันมะกอก





         การใช้น้ำมันมะกอก สำหรับการถนอมผิวมีมานานตั้งแต่สมัยอิยิปต์แล้ว มีหลักฐานเชื่อได้ว่าชาวอิยิปต์ได้ใช้น้ำมันมะกอกกับขี้ผึ้งในการทำความสะอาดผิว ใช้ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น และใช้เป็นสารต่อต้านแบคทีเรียได้ด้วย



    ความรู้สึก เมื่อคุณใช้  สบู่น้ำมันมะกอก  
คุณจะสัมผัสถึง

1. ความหอมของน้ำมันมะกอก หอมหวาน ๆ หอมอ่อน ๆ หอมแบบเดินผ่านสบู่น้ำมันมะกอกก้อนนี้ คุณจะต้องเผลอตัวหยิบขึ้นมาดมทุกครั้ง

2. เมื่อคุณได้ใช้สบู่น้ำมันมะกอกในครั้งแรก คุณจะรู้สึกว่าผิวเนียนขึ้น ผิวนุ่มขึ้น  (คุณจะหลงรักสบู่น้ำมันมะกอก)

3. ผิวคุณจะขาวกระจ่างใสขึ้น จนคนข้าง ๆ ทักอย่างแปลกใจ  "ใช้อะไรมา หน้าขาวใสจัง" ทั้งๆ ที่เห็นหน้ากันทุกวัน  

4.ใช้แล้ว สิวยุบ ริ้วรอยลดลง รู้สึกผิวตึงยกกระชับขึ้น

5.ผิวนุ่มขึ้น จนต้องลูบหน้า ลูบมือ ตัวเองตลอดเวลา



  สรรพคุณน้ำมันมะกอกเมื่อเอามาทำสบู่       

1) ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น 
     ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องทาครีมเพื่อให้ความชุ่มชื้นต่อผิวทุกวัน ครีม Moisturizer กระปุกหนึ่งราคา 300-400 บาทแถมด้วยสารสังเคราะห์อะไรไม่รู้เยอะแยะ  

    ครูดานิ แนะนำว่าใช้ Moisturizer แบบธรรมชาติไร้สารสังเคราะห์ นั่นคือ สบู่น้ำมันมะกอก 



    สบู่น้ำมันมะกอก อุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด สายลม ซึ่งทำร้ายผิวของเรา เนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม บางเบา ของน้ำมันมะกอก ไม่ทำให้เหนียวเหนอะหนะ และช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นได้นาน และเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว


2) ช่วยปรับสภาพผิว
     เมื่อเราพูดถึงความงาม การมีผิวที่เปล่งปลั่ง เป็นประกาย ออร่า ย่อมเป็นเรื่องที่ปราศนาของหญิงสาวทุกคน 
    ในปัจจุบันแม้แต่ผู้ชายเองก็ตามยังต้องการผิวใสเปล่งประกาย เมื่อเราต้องการผิวใสเปล่งประกายเรามักจะนึกถึง การทำให้ผิวมีประกาย ออร่า 
    ทุกๆคนล้วนอยากได้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ สบู่น้ำมันมะกอก สูตรนี้ ช่วยให้คุณมีผิวใสเปล่งประกาย มีออร่า 




    สบู่น้ำมันมะกอก อุดมไปด้วยวิตามินอี ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี รักษาผิวหนังจากสิวอักเสบ ปกป้องผิวหนังจากโรคร้าย เช่นโรคสะเก็ดเงิน และโรคมะเร็งผิวหนัง 


3.บำรุงเส้นผม 
    สบู่น้ำมันมะกอกมีปริมาณของวิตามินอี   และวิตามินบี จึงช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเส้นผมและผิวหนังทดแทนน้ำมันตามธรรมชาติของบนเส้นผมและผิวหนังได้ ป้องกันเส้นผมเปราะ ขาด ป้องกันผิวหนังแห้งแตกลายได้

4. ผิวกระจ่างใส 
    สบู่น้ำมันมะกอก ใช้เป็นประจำทุกวัน ผิวจะขาวกระจ่างใสขึ้น ชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์



#ครูดานิ Soap ExPert
#เรียนทำสบู่ง่ายๆ สบายๆ ได้ที่บ้าน
#เบอร์โทรติดต่อ: 0625945642, 0614696546
#Line ld : @127wsjci
##YouTube : dani dani soap
Facebook : สอนทำสบู่ เรียนทำสบู่ สอนออนไลน์ ครูดานิ


สุขภาพดี ได้ด้วยน้ำมันมะกอก




#ประโยชน์จากน้ำมันมะกอกที่คุณอาจไม่เคยรู้
       ยุคนี้ ทุกคนหันมาสนใจ สุขภาพ กันมากขึ้น คงจะรู้จัก และเริ่มรับประทาน น้ำมันมะกอก กันมาได้สักพักแล้ว เพราะน้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยไขมันที่ดีต่อร่างกาย หากทานในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


นอกจากทานได้แล้ว น้ำมันมะกอกยังช่วยด้านอื่นด้วยจ้า มาดูกันเลย

แก้อาการท้องผูก

>น้ำมันมะกอกสามารถช่วยลดอาการท้องผูกได้ ทั้งจากการรับประทานตามปกติสำหรับผู้ใหญ่ และลูบไล้บริเวณท้องสำหรับเด็ก 
>สามารถนำมาประกอบอาหารเพื่อช่วยเป็นยาระบายอาการท้องผูกให้แก่เด็กได้ 
>หรืออีกหนึ่งวิธี คือ การน้ำมันมะกอกอุ่นๆ มาลูบไล้เบาๆ เป็นเข็มนาฬิกาบริเวณหน้าท้องของลูกๆ

ลดอาการไอ

>น้ำมันมะกอกช่วยบรรเทาอาการไอได้เป็นอย่างดี เพียงผสมน้ำมันมะกอกประมาณ 3-4 ช้อนชา 
เข้ากับโรสแมรี่ ยูคาลิปตัส และน้ำมันสะระแหน่ ประมาณ 2-3 หยด แล้วลูบไล้บริเวณหน้าอก และหลังก่อนเข้านอน เพียงเท่านี้ก็สามารถบรรเทาอาการไอ และช่วยให้หลับสบายได้ง่ายขึ้น


ควบคุมคอเลสเตอรอล 

>นี่เป็นคุณสมบัติเด่นของน้ำมันมะกอกที่ทำให้คนหันมารับประทานกันมาก 
>เพราะในน้ำมันมะกอกมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งมีส่วนของกรดโอเลอิก ( Oleic Oil ) อยู่ในปริมาณที่สูงมาก 
>ซึ่งกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยวนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่เพิ่มปริมาณคอเรสเตอรอลชนิดดี ( HDL ) 
>และสามารถช่วยลดคลอเรสเตอรอสชนิดไม่ดี (LDL)  ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคความดันโลหิตสูง

ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็ง 

>น้ำมันมะกอกมีส่วนประกอบของสารอัลฟาโตโคฟีรอล ( Alpha-Tocopheral ) ในรูปของวิตามินอี 
>สารไลโคปี (Lycopene) และสารกลุ่มโพลีฟีนอลที่จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด
>ช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระที่เข้าสู่ร่างกาย 
>โดยสารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปจับตัวกับอนุมูลอิสระทำให้ อนุมูลอิสระไม่สามารถทำลายเซลล์ที่อยู่ใกล้เคียงได้ 
>จึงช่วยลดความเสี่ยงที่เซลล์จะเกิดการกลายพันธุ์และเจริญเติบโตเป็นเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปีกมดลูกและมะเร็งลำไส้ใหญ่

ลดความเสื่อมของสมอง 
>น้ำมันมะกอกช่วยเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันไม่ให้ผนังหลอดเลือดโดนทำลาย 
>ลดการอุดตันของเส้นเลือด จึงทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีโดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองและหัวใจ
>ซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย เมื่อเลือดไหลเวียนดีออกซิเจนก็จะเข้าสู่เซลล์สมองและหัวใจส่งผลให้เซลล์ตามอวัยวะต่างๆ แข็งแรงขึ้น 
>ลดความเสื่อมของเซลล์สมอง ป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อม เป็นต้น

 เพิ่มการดูดซึมอาหาร 
>น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว 
>เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ววิตามินหรือสารอาหารที่ละลายได้ในน้ำมันก็จะละลายเข้าไปอยู่ในน้ำมันมะกอก 
>ดังนั้นน้ำมันมะกอกก็จะพาสารอาหารและแร่ธาตุเข้าสู่ร่างกายไปด้วย ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินที่ละลายในน้ำมันมากขึ้น เช่น วิตามินดี  วิตามินเค วิตามินเอ เป็นต้น

 เพิ่มการเผาผลาญ 
>น้ำมันมะกอกจะเข้าไปกระตุ้นกระบวนการเมตาบอลิซึม ( Metabolic Function ) ให้สามารถทำงานได้อย่างทรงประสิทธิภาพ 
>ทำให้สามารถสบายไขมันออกจากร่างกายได้เพิ่มขึ้น ลดการสะสมของไขมันในร่างกาย
>ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ป้องกันการเกิดนิ่ว 
>น้ำมันมะกอกช่วยป้องกันการก่อตัวและการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี 
>โดยน้ำมันมะกอกจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดีให้สามารถไหลหมุนเวียนได้ดีขึ้น 
>ลดการสะสมหรือการตกตะกอนก่อตัวเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และยังช่วยยับยั้งการหลั่งของน้ำดีที่ผลิตจากตับ จึงช่วยลดการสะสมของน้ำดีในถุงน้ำดี

ลดการอักเสบของแผลในระบบทางเดินอาหาร 
>น้ำมันมะกอกจะช่วยเคลือบบริเวณที่เกิดแผลในระบบทางเดินอาหาร ทั้งในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ 
>ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำย่อยหรือกรดในกระเพาะอาหารเข้ามาทำปฏิกิริยากับแผลจนเกิดการอักเสบซ้ำซ้อน และช่วยบรรเทาอาการอักเสบด้วย
บำรุงเส้นผม 
>น้ำมันมะกอกมีปริมาณของวิตามินอีและวิตามินบี จึงช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง 
>มีโมเลกุลของน้ำมันมะกอกมีความคล้ายคลึงกับน้ำมันตามธรรมชาติซึ่งมีขนาดที่เล็กทำให้ซึมซาบเข้าสู่เส้นผมและผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว 
>น้ำมันมะกอกจึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเส้นผมและผิวหนังทดแทนน้ำมันตามธรรมชาติของบนเส้นผมและผิวหนังได้ 
>ป้องกันเส้นผมเปราะ ขาด ป้องกันผิวหนังแห้งแตกลายได้
บำรุงหัวใจ 
>น้ำมันมะกอกมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวอยู่มาก 
>ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล ( LDL ) ได้ ควบคุมระดับ ( LDL ) ให้ต่ำลง 
>ช่วยให้ไขมันในเลือดลดลง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดหัวใจรั่ว เป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย 
>ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว ( Atrial Fibrillation ) และทำให้หัวใจทำงานได้อย่างแข็งแรงยิ่งขึ้น

รู้กันยังคะว่าน้ำมันมะกอกมีกี่ประเภท



มารู้จักน้ำมันมะกอกกันคะ

        น้ำมันมะกอก    มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า 

Olea europaea อยู่ในวงศ์ Oleaceae 
เป็นพืชพื้นถิ่นแถบเมอร์ดิเตอร์เรเนียน 
น้ำมันมะกอกผลิตด้วยการสกัดจากผลมะกอก 
มีการนำมาใช้ประโยชน์หลากหลายจากในครัว
ไปจนถึงเครื่องสำอางแบรนด์ชั้นนำระดับโลก


       น้ำมันมะกอก ในท้องตลาดมีหลากหลายชนิดเราจะเลือกใช้อย่างไร ชนิดไหนเหมาะสำหรับทำอะไร? ซึ่งในเชิงการค้าแล้วสามารถแบ่งน้ำมันมะกอกได้ 4 ชนิดดังนี้




ประเภทของน้ำมันมะกอก

1. น้ำมันมะกอกที่มีความบริสุทธิ์สูง หรือ 
Extra Virgin Olive Oil 
คือ น้ำมันมะกอกที่ผ่านการสกัดด้วยวิธีบีบ (Expelling) หรือการบีบเย็น (Cold Press)  

>เป็นชนิดที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายสูงสุด แต่ก็เป็นน้ำมันมะกอกชนิดที่แพงที่สุด


>สกัดด้วยวิธีการบีบเย็น (Cold Press) จะไม่ใช้ความร้อนในการสกัดน้ำมันมะกอก  ทำให้ได้น้ำมันมะกอกที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงของคุณค่าทางโภชนาการน้อยมาก 

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้จึงมีรสและกลิ่นของผลมะกอกเหมือนกับผลมะกอกจริง 

>คุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารเหมือนผลมะกอกเกือบ 100% 

>เพราะว่าการสกัดด้วยวิธีบีบเย็นนี้ไม่ใช่ความร้อนในการสกัดสารอาหารในผลมะกอกจึงไม่โดนทำลายจากความร้อน 

>มีค่าความเป็นกรดน้อยมากคือ มีค่าความเป็นกรดต่ำกว่า 1% มีสีเขียวเข้ม 

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้เป็นน้ำมันมะกอกชนิดที่ดีที่สุด น้ำมันมะกอกชนิดนี้มีจุด Smoke Point ที่ 100 องศาเซลเซียส 

>ไม่เหมาะกับการนำมาปรุงอาหารประเภททอดหรือผัดด้วยความร้อนสูง เพราะที่ความร้อนสูงน้ำมันมะกอกชนิดนี้จะกลายเป็นอนุมูลอิสระ ที่เรียกว่า 
อะคลีเอมีน ( Acrylamine ) ที่เป็นสารก่อมะเร็งอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงควรนำไปปรุงอาหารที่ไม่ใช้ความร้อน เช่น ทำน้ำสลัด ราดบนเนื้อสัตว์ เป็นต้น



2.น้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์ ( Virgin Olive Oil )

 >น้ำมันมะกอกที่สกัดด้วยใช้ความร้อนทำให้สารอาหารบางชนิดโดนทำลายไปบ้างเล็กน้อย 

>มีค่าความเป็นกรดต่ำไม่เกิน 1.5% จึงมึคุณภาพน้อยกว่าน้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์พิเศษ 

>สกัดโดยใช้ความร้อนอาจจะทำให้กลิ่นและรสของน้ำมันมะกอกที่ได้เปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติ

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้ไม่เหมาะกับการนำไปปรุงอาหารที่ต้องผ่านความร้อน เช่นเดียวกับน้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธิ์พิเศษ

>เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่ได้รับความนิยมมากและนำมาใช้หลากหลายประโยชน์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้น้ำมันมะกอกที่มีราคาไม่แพง
3.น้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์ดี ( Fine Olive Oil ) >น้ำมันมะกอกที่สกัดในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนมาก 

>กรรมวิธีในการผลิตจะใช้ทั้งสารเคมีและความร้อนในการสกัดน้ำมันออกมาจากผลมะกอก 
>มีการขจัดสีและกลิ่นของมะกอกออกไปจากน้ำมันด้วย ทำให้น้ำมันที่ได้ไม่มีสี กลิ่นและรสของมะกอกหลงเหลืออยู่ 

>มีค่าความเป็นกรดต่ำอยู่ที่ 1.5-3 % 

>น้ำมันมะกอกชนิดนี้เหมาะกับการทำอาหารที่ผ่านความร้อนน้อยหรือผ่านในระยะเวลาสั้นๆ เช่น การผัด การทำซอสที่ใช้ความร้อนนิดหน่อย เป็นต้น ไม่เหมาะกับการนำไปทอดเป็นเวลานาน



4.น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ( Pure Olive Oil ) คือ >น้ำมันมะกอกที่นิยมนำมาปรุงอาหารรับประทานกัน ทั้งอาหารที่ต้องผ่านความร้อน อย่างผัด ทอด และอาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อนอย่างการทำน้ำสลัด 

>มีค่าความเป็นกรดประมาณ 3-4 % ซึ่งถือว่ายังสามารถบริโภคได้ 
>มีกลิ่นมะกอกจะอ่อนมาก น้ำมันมะกอกชนิดนี้จะมีราคาถูกที่สุด 
>เหมาะกับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูงหรือต้องผ่านความร้อนเป็นเวลานานโดยเฉพาะการทอดจะดีมาก 
>มีจุด Smoke Point ที่ 200 องศาเซลเซียส แต่ไม่เหมาะกับการนำมาทำอาหารเพื่อรับประทานโดยตรง เช่น การกินกับสลัด การผสมซอส เป็นต้น



5. น้ำมันกากมะกอก คือ 
>น้ำมันที่สกัดจากกากของมะกอกที่เหลือจากการสกัดน้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์พิเศษหรือน้ำมันมะกอกแบบบริสุทธิ์ดีไปแล้ว 

>นำกากมะกอกที่เหลือมาผ่านกรรมวิธีทางเคมีและความร้อนเพื่อให้ได้น้ำมันออกมา 

>ซึ่งน้ำมันชนิดนี้จะมีคุณภาพต่ำมาก มีปริมาณไขมันชนิดที่ไม่ดีสูงกว่าน้ำมันมะกอกทุกชนิด 

>สามารถนำมาใช้ในการปรุงอาหารที่ต้องอาศัยความร้อนสูงได้เช่นกัน แต่ไม่ควรนำมารับประทานโดยตรง

ครูดานิ




น้ำมันมะกอก คืออะไร ?




น้ำมันมะกอก คืออะไร ?
      น้ำมันมะกอก ( Olive Oil ) คือ น้ำมันธรรมชาติที่เกิดจากการนำเอา ผลแก่ของต้นมะกอกโอลิฟมาสกัดเอาน้ำมัน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของน้ำมันพืช 
      ลักษณะของน้ำมันมะกอก  จะมีสีเขียวใส 
สีเหลืองใส หรือใสไม่มีสี ขึ้นอยู่กับวิธีการที่นำมาผลิตน้ำมันมะกอก 

      สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ  นิยมนำน้ำมันมะกอกมาใช้ในการประกอบอาหาร 

    ผลการวิจัย ทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์บ่งบอกว่าน้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ 
เมื่อรับประทานเข้าไปจะไม่ก่อโทษในร่างกาย 
สามารถนำน้ำมันมะกอกมาใช้ปรุงอาหารรับประทานได้ทุกประเภท 



    น้ำมันมะกอกยังเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสบู่ พลาสเตอร์ วัสดุอุดฟัน น้ำมันสำหรับนวด
    เพราะว่าน้ำมันมะกอกนั้นซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและไม่ทิ้งความมันบนผิว จึงนิยมนำไปเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์ ครีมบำรุงผิว ครีมแต้มสิวและครีมบำรุงผิวหน้าอีกด้วย 

  น้ำมันมะกอกมีสรรพคุณ และประโยชน์อย่างไรบ้างสามารถเอามาทำอะไรได้บ้าง ติดตามในบทความต่อไปคะ

ครูดานิ